TrueID
TH
รีเซต
ผลการค้นหา “Never Let Me Go” - ทรูไอดี
ยอดนิยม
ดู
สิทธิพิเศษ
อ่าน
คลิปสั้น
อ่าน
เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go ช่อง GMM25 (ตอนจบ)
เรื่องย่อซีรีส์ เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go ช่อง GMM25 ทุกวันอังคาร เวลา 20.30 น. เริ่มตอนแรกวันอังคารที่ 13 ธันวาคมนี้ นำแสดงโดย คู่จิ้นคู่ฮอต ปอนด์ ณราวิชญ์ เลิศรัตน์โกสุมภ์ และ ภูวิน ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน ที่กลับมาประกบคู่กันอีกครั้ง ในซีรีส์เรื่องใหม่ล่าสุด แนวโรแมนติกดราม่าเข้มข้น
เรื่องย่อละคร • 27 ก.พ. 66
อ่าน
รู้จัก 6 นักแสดง เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go พร้อมเปิดวาร์ป
เรียกว่ากระแสแรงปังปุริเย่ตั้งแต่ยังไม่ออนแอร์เลยละค่ะสำหรับซีรีส์วายเรื่องใหม่จากทาง GMM อย่างเรื่อง “เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go” ซึ่งเป็นซีรีส์วายที่มีพล็อตเข้มข้น โดยเกี่ยวกับความรักข้ามชนชั้นระหว่างบอดี้การ์ดและคุณหนู และนอกเหนือจากนี้แล้วเหล่านักแสดงในเรื่องแต่ละคนก็ต้องบอกเลยว่าสุดปังน่าจับตามองมาก! วันนี้เราเลยอยากจะพาเพื่อน ๆ มาทำความรู้จักกับเหล่านักแสดงในซีรีส์เรื่อง เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go กันให้มากขี้น ผ่านทาง ‘รู้จัก 6 นักแสดง เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go พร้อมเปิดวาร์ป’ มาดูกันว่า มีใครบ้าง ประวัติส่วนตัว คาแรคเตอร์ความน่ารักที่ทำให้แฟนคลับชื่นชอบ ในเรื่องแต่ละคนแสดงเป็นใคร รวมถึงพร้อมเปิดวาร์ปให้เพื่อน ๆ ได้ติดตามกัน! [Official Trailer] เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Gohttps://youtu.be/p8AwJVKAJAMhttps://www.instagram.com/p/Cl0jNvRpRvi/?igshid=MDM4ZDc5MmU=https://www.instagram.com/p/CmEBP_6rHC5/?igshid=MDM4ZDc5MmU=1.) ปอนด์ ณราวิชญ์ นักแสดงคนแรกจากซีรีส์เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go นั่นก็คือบทบาทของพระเอกอย่างหนุ่ม “ปอนด์ ณราวิชญ์ เลิศรัตน์โกสุมภ์” เกิดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ปัจจุบันอายุ 21 ปี ในพาร์ทของกำลังศึกษาหนุ่มปอนด์กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญาตรีในคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และด้วยความหล่อของหนุ่มปอนด์ เขายังได้เป็นเดือนประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ ประจำปีการศึกษา2562 อีกด้วย เรียกว่าโปรไฟล์ไม่ธรรมดาจริง ๆ ค่ะ 🫶🏻https://www.instagram.com/p/CYih4gKPrSl/?igshid=MDM4ZDc5MmU=เส้นทางการเข้าสู่วงการบันเทิงของปอนด์ ณราวิชญ์ โดยหนุ่มปอนด์นั้นได้เข้าสู่วงการบันเทิงจากการประกวด Go On Girl Guy Star Search By Clean and Clear ปี 3 ซึ่งเป็นการประกวดเพื่อค้นหานักแสดงหน้าใหม่ของค่าย GMMTV ต่อมาหนุ่มปอนด์ก็ได้เป็นผู้ชนะและได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัด GMMTV หนุ่มปอนด์ได้มีผลงานการแสดงเรื่องแรกอย่าง Side Story อุ่นไอเลิฟ เรื่องสั้นก่อนจบตอนในซีรีส์ The Gifted Graduation และได้รับบทบาทนำในซีรีส์วายในบทบาทของ หมอก ในเรื่องปลาบนฟ้า (Fish Upon the Sky) เรียกว่าเป็นซีรีส์ว่ยที่โด่งดังและเป็นเรื่องที่ทำให้หนุ่มปอนด์แจ้งเกิดในฐานะของนักแสดงอย่างเต็มตัวเลยก็ว่าได้https://www.instagram.com/p/CfEZStxPRop/?igshid=MDM4ZDc5MmU=ผลงานห้ามพลาดของปอนด์ ณราวิชญ์ ปลาบนฟ้า (Fish Upon the Sky) (2564) ผลงานห้ามพลาดของหนุ่มปอนด์เป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้เลย นอกซะจากซีรีส์วายสุดฟินเรื่อง “ปลาบนฟ้า (Fish Upon the Sky)” จากทาง GMM โดยหนุ่มปอนด์แสดงเป็น “หมอก” เขาเป็นเดือนคณะแพทย์ สุดเพอร์เฟกต์ เป็นหนุ่มฮอตฉลาด เฟรนลี่มาก โดยหนุ่มปอนด์นั้นก็สามารถถ่ายทอดคาแรคเตอร์ของหมอกได้ออกมาได้ดีมาก สีหน้า แววตาท่าทางต่าง ๆ คือปังปั๊วะมาก เรียกได้ว่าเป็นการแสดงแบบจริง ๆ จัง ๆ เรื่องแรกของหนุ่มปอนด์ที่ต้องอวยยศให้เลยค่า ^^ [Official Trailer] ปลาบนฟ้า Fish upon the skyhttps://youtu.be/nwtaq56pgIohttps://www.instagram.com/p/CNcvzUbHsSs/?igshid=MDM4ZDc5MmU=https://www.instagram.com/p/CQi_eLEnEpk/?igshid=MDM4ZDc5MmU=ปอนด์ ณราวิชญ์ รับบท ปาล์ม ซีรีส์เรื่องเพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go หนุ่มปอนด์ ณราวิชญ์ รับบท “ปาล์ม” เป็นลูกชายของชานนท์ เป็นหนุ่มมาดเซอร์ที่มีความขาลุย เป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ ชอบอะไรที่แบบลุย ๆ ชอบเล่นกีฬามาก อีกทั้งยังเก่งในเรื่องของการต่อสู้อีกด้วย ซึ่งปาล์มนั้นจะมีนิสัยที่แตกต่างกับหนึ่งเดียวแบบสิ้นเชิงเลย มีความเฟรนลี่และมักจะมีเพื่อน ๆ เข้าหาเขาอยู่ตลอดเลยhttps://www.instagram.com/p/CmHO8utvGXq/?igshid=MDM4ZDc5MmU=ช่องทางการติดตามปอนด์ ณราวิชญ์Instagram : @ppnaravitTwitter : @ppnaravit2.) ภูวิน ตั้งศักดิ์ยืน หนุ่มคนต่อมาจากซีรีส์เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go ที่ต้องบอกเลยว่าไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นหนุ่มคนไหนนั่นคือหนุ่ม “ภูวิน ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน” เกิดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 ปัจจุบันอายุ 19 ปี ในพาร์ทของการศึกษา หนุ่มภูวินกำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยhttps://www.instagram.com/p/CVabLUiJawo/?igshid=MDM4ZDc5MmU=เส้นทางการเข้าสู่ระบบภูวิน ตั้งศักดิ์ยืน หนุ่มภูวินเข้าสู่วงการจากการแสดงในปี 2558 กับละครเรื่อง หนึ่งในทรวง ซึ่งตอนนั้นหนุ่มภูวินอายุเพียง 12 ปี และได้ร่วมแสดงในซีรีส์เรื่องเลือดมังกร ต่อมาหนุ่มภูวินโด่งดังและชื่อเสียงในบทบาทของ หมอน ในซีรีส์เรื่อง อาตี๋ของผม เรียกว่าเป็นหนุ่มหล่อสุดน่ารักที่ผ่านการแสดงมาแล้วพอสมควรเลยละ! https://www.instagram.com/p/CgTWbdspJ87/?igshid=MDM4ZDc5MmU=ผลงานห้ามพลาดของภูวิน ตั้งศักดิ์ยืนนักเรียนพลังกิฟต์ (The Gifted) (2563) โดยผลงานห้ามพลาดของหนุ่มภูวิน ตั้งศักดิ์ยืนนั่นก็คือซีรีส์เรื่อง “นักเรียนพลังกิฟต์ (The Gifted)” โดยเขาแสดงเป็น ธรรมรงค์ เดชารัตน์ หรือ “เติร์ด” เป็นนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 5/1 นักเรียนห้องกิฟต์รุ่น 16 และยังเป็นสมาชิกทีมสารวัตรนักเรียนของโรงเรียนฤทธาวิทยาคมอีกด้วย เขาเป็นหนุ่มแว่นที่มีคาแรคเตอร์ของดุ มีความจริงจังเรียนเก่ง ชอบเอาชนะ ซึ่งเรียกว่าภูวินนั้นแสดงบทบาทของเติร์ดออกมาได้ดีมาก อินเนอร์ การสื่อสารอารมณ์ต่าง ๆคือปัง ชนิดที่ว่าทำเอาใครหลาย ๆ คนนั้นต่างก็ต้องหมั่นไส้เลย ฮ่า ๆ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานของหนุ่มภูวินที่เห็นถึงการพัฒนาได้อย่างชัดเจนมากTRAILER THE GIFTED Serieshttps://youtu.be/1c3FJXZBmIkhttps://www.instagram.com/p/CH5CfYds_4T/?igshid=MDM4ZDc5MmU=https://www.instagram.com/p/CILCGBJsIN_/?igshid=MDM4ZDc5MmU=ภูวิน ตั้งศักดิ์ยืน รับบท หนึ่งเดียว ในซีรีส์เรื่อง เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go หนุ่มภูวิน ตั้งศักดิ์ยืน รับบท “หนึ่งเดียว” เป็นลูกคุณหนูทายาทโรงแรมอันดับหนึ่งของประเทศไทยในตระกูลดังและรวยมาก ๆ เขาเป็นคนที่ค่อนข้างเรียบร้อย รักครอบครัวมาก เป็นคนที่เข้มแข็งแต่ด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ ทำให้บางครั้งเขาก็อ่อนแอ เป็นคนที่ชอบเก็บตัว ไม่ค่อยมีเพื่อน และสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเขาได้ก็คือการเล่นเปียโนhttps://www.instagram.com/p/CmHJWPrv7Zd/?igshid=MDM4ZDc5MmU=ช่องทางการติดตามภูวิน ตั้งศักดิ์ยืนInstagram : @phuwintangTwitter : @phuwintang3.) ณัฐ ศักดาทร หนุ่มคนต่อมาในซีรีส์เรื่อง เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go นั่นคือหนุ่มหล่อมาดละมุนอย่าง “ณัฐ ศักดาทร” เกิดเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2526 ปัจจุบันอายุ 39 ปี ในพาร์ทของการศึกษา หนุ่มณัฐจบศึกษาระดับปริญญาตรีที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และศึกษาด้านดนตรีต่ออีกหนึ่งเทอมที่ Berklee College of Music และย้ายกลับมายังประเทศไทยhttps://www.instagram.com/p/Ck-jYPAprw2/?igshid=MDM4ZDc5MmU=เส้นทางการเข้าสู่วงการบันเทิงของณัฐ ศักดาทร เส้นทางการเข้าสู่วงการบันเทิงของหนุ่มณัฐ ศักดาทร นั่นคือเขาได้เข้าร่วมรายการเรียลลิตี้ประกวดร้องเพลงTrue Academy Fantasia Season 4 และในตอนนั้นหนุ่มณัฐได้เป็นผู้ชนะ ต่อมาก็ได้มีอัลบั้มแรกในชีวิตมีชื่อว่า X-Treme Army ต่อมาหนุ่มณัฐได้มีผลงานการแสดงครั้งแรกในปี 2551 กับบทของ นายแสนสุข ในละครเรื่อง เทวดาสาธุ และจากจุดนี้เอง ทำให้หนุ่มณัฐ ศักดาทรมีผลงานการแสดงออกออกมาอยู่เรื่อย ๆ และหนุ่มณัฐยังมีผลงานด้านการเขียนด้วย เรียกว่าเป็นหนุ่มหล่อที่มีหลากหลายความสามารถจริง ๆ ค่าhttps://www.instagram.com/p/CKaHn6QlMtM/?igshid=MDM4ZDc5MmU=ผลงานห้ามพลาดของณัฐ ศักดาทรรักล้นพุง (2565) โดยผลงานห้ามพลาดของหนุ่มณัฐ ศักดาทรนั่นก็คือซีรีส์เรื่อง “รักล้นพุง” เป็นแนวรอมคอมสุดน่ารัก ในเรื่องนี้หนุ่มณัฐศักดาทร แสดงเป็น “ปานเทพ” ซึ่งเป็นคาแรคเตอร์ของหัวหน้าฝ่ายวางแผนและนโยบาย เจ้าหน้าที่บริหารที่ทํางานร่วมกันกับเหมียว เป็นหนุ่มหล่อโปรไฟล์ปังสุดออร่าจับ เป็นคนที่มีความนิ่งน่ารักนิสัยดี มองมุมไหนก็คือหล่อมาก! ซึ่งหนุ่มณัฐแสดงออกมาได้แบบสมจริงมาก มีมาดสุขุมนุ่มนวลแบบสุด ชอบตอนแสดงคู่กับสาวสายป่านคือมีความเคมีเคใจหนักมาก อีกทั้งลุคของหนุ่มณัฐในเรื่องนี้มีความเป็นเนี๊ยบมาก บอกเลยว่าโคตรจึ้ง! Official Trailer - Let's Eat รักล้นพุง | เริ่ม 26 เม.ย.https://youtu.be/AXqHRhdSteshttps://www.instagram.com/p/CPZidlEMdKf/?igshid=MDM4ZDc5MmU=https://www.instagram.com/p/COHkkoNM4h3/?igshid=MDM4ZDc5MmU=ณัฐ ศักดาทร รับบท ศุภกิจ ในซีรีส์เรื่องเพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go หนุ่มณัฐ ศักดาทร รับบทเป็น “ศุภกิจ” เป็นน้องชายของพ่อของหนึ่งเดียว เป็นอาของหนึ่งเดียว เป็นคนที่ค่อนข้างมีความเจ้าเล่ห์และหัวหมออยู่พอตัว มีความตรงไปตรงมา คิดอะไรก็พูดแบบนั้น ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น และสิ่งที่ศุภกิจหวังก็คือธุรกิจและมรดก เป็นบทบาทร้ายในเรื่องที่มีมิติน่าติดตามมากๆ ค่าช่องทางการติดตามณัฐ ศักดาทรInstagram : @natsakdatornTwitter : @NATsakdatorn4.) เพิร์ธ ธนพนธ์ มาถึงนักแสดงหนุ่มหล่อคนต่อมาในซีรีส์เรื่อง เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go เรียกว่าเป็นน้องใหม่ของทางGMM เลย นั่นคือหนุ่มเท่ “เพิร์ธ ธนพนธ์ สุขุมพันธนาสาร” เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2544 ปัจจุบันอายุ 21 ปีปัจจุบันกำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีจากสาขาภาพยนตร์และสื่อดิจิทัล วิชาเอกการแสดงและกำกับการแสดงภาพยนตร์ วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒhttps://www.instagram.com/p/CERutnIHmgr/?igshid=MDM4ZDc5MmU=เส้นทางการเข้าสู่วงการบันเทิงของเพิร์ธ ธนพนธ์ หนุ่มเพิร์ธได้เข้าสู่วงการบันเทิงในปี 2560 จากการแสดงในซีรีส์เรื่อง Please เสียงเรียกวิญญาณ ต่อมาได้โด่งดังและมีชื่อเสียงในบทบาทของ เอ้ ในซีรีส์วายชื่อดังอย่าง บังเอิญรัก Love By Chance แลเได้มีผลงานตามออกมาให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นผลงานการแสดง อย่าง REMINDERS เพราะคิดถึง , เคว้ง (The Stranded) , เขาวานให้หนูเป็นสายลับ , ด้ายแดง(Until We Meet Again) และมีผลงานถ่ายแบบ รวมถึงผลงานในการร้องเพลง เรียกว่าเป็นหนุ่มหล่ออีกหนึ่งคนที่ความสามารถสุดปังมากจริง ๆ ค่าhttps://www.instagram.com/p/Cd-UK38hRVD/?igshid=MDM4ZDc5MmU=ผลงานห้ามพลาดของเพิร์ธ ธนพนธ์My Coach ตะลุมรัก ตะลุมบอล (2565) มาถึงพาร์ทของผลงานห้ามพลาดของหนุ่มเพิร์ธ ธนพนธ์กันบ้างค่ะ ผลงานเรื่องนั้นก็คือซีรีส์เรื่อง “My Coach ตะลุมรักตะลุมบอล” ทางช่อง3 / Viu โดยหนุ่มเพิร์ทนั้นแสดงเป็น “จอน” เขาเป็นหลานชายของเจิดจรัส ที่เคยถูกเจนน่าหักอกมาแล้ว ซึ่งเป็นหนุ่มวัยมัธยมที่มีความกวนโอ๊ยมาก มองว่าความคิดของตัวเป็นใหญ่ เป็นคนที่มีความดื้ออยู่พอตัวเลยซึ่งส่วนตัวเราชอบหนุ่มเพิร์ธในบทบาทแบบนี้มาก เพราะมีความฟิตติ้งสุด ๆ มีความกวนได้แบบถึงใจมาก ฮ่า ๆ 😂อินเนอร์ส่งฟีลลิ่งได้แบบดีสุดอะไรสุดมาก แถมในเรื่องนี้หนุ่มเพิร์ธยังต้องแสดงฝีไม้ลายมือในการเตะบอลอีกด้วย จะเป็นยังไงเพื่อน ๆ ก็ต้องไปรับชมกันจ้า[Official Trailer] My Coach ตะลุมรัก ตะลุมบอลhttps://youtu.be/PghxZ9UkDvAhttps://www.instagram.com/p/Cec6wqBhMg3/?igshid=MDM4ZDc5MmU=เพิร์ธ ธนพนธ์ รับบท ช็อปเปอร์ ซีรีส์เรื่องเพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go หนุ่มเพิร์ธ ธนพนธ์ รับบทเป็น “ช็อปเปอร์” เป็นลูกชายของศุภกิจเป็นคนที่นิ่งเงียบ และขรึมมาก โดยช็อปเปอร์ก็เรียนในโรงเรียนเดียวกับหนึ่งเดียว และยังเป็นคนที่เข้าไปชวนปาล์มคุยอีกด้วยช่องทางการติดตามเพิร์ธ ธนพนธ์Instagram : @perthppeTwitter : @perthppe5.) ชิม่อน วชิรวิชญ์ มาถึงนักแสดงคนต่อมาในซีรีส์เรื่องเพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go นั่นคือหนุ่มหล่อสุดทะเล้น “ชิม่อน วชิรวิชญ์ เรืองวิวรรธน์” เกิดเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2543 ปัจจุบันอายุ 22 ปี ปัจจุบันกำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีในสาขาเอกภาพยนตร์ คณะดิจิทัลมีเดียและศิลปะภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพhttps://www.instagram.com/p/Ca1wKe5l4DW/?igshid=MDM4ZDc5MmU=เส้นทางการเข้าสู่วงการบันเทิงของชิม่อน วชิรวิชญ์ ในพาร์ทของเส้นทางการเข้าสู่วงการบันเทิงของชิม่อน วชิรวิชญ์ นั่นคือในช่วงที่เขาอยู่อนุบาล 3 โดยได้แสดงเป็นเด็กน้อยยืนกินลูกอมในภาพยนตร์ดังเรื่อง 13 เกมสยอง และได้มีชื่อเสียงและหลายคนรู้จักในบทบาทของ ทอย จากซีรีส์เรื่อง รุ่นพี่ Secret Love ตอน My Lil Boy 2 น้องม.4 พี่ปี 1 และก็มีผลงานออกมาให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็ร My Dear Loser รักไม่เอาถ่าน ตอน Edge of 17 , Love Songs Love Series 3 ตอน เสพติดความเจ็บปวด , THE GIFTED นักเรียนพลังกิฟต์ , ใจฟู สตอรี่ และอื่น ๆ อีกมากมายhttps://www.instagram.com/p/ClTI3k7SWT5/?igshid=MDM4ZDc5MmU=ผลงานห้ามพลาดของชิม่อน วชิรวิชญ์School Tales The Series โรงเรียนผีมีอยู่ว่า (2565) มาถึงผลงานห้ามพลาดของหนุ่มชิม่อน เรียกว่าเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกซะจากผลงานในปีนี้อย่างมินิซีรีส์เรื่อง “School Tales The Series โรงเรียนผีมีอยู่ว่า” มาในตอน “ตอน เดินล่าท้าผี (A Walk in School)” เป็นตอนสุดท้ายของเรื่องเล่าเลยละค่ะ ซึ่งหนุ่มชิม่อนแสดงเป็น “ตั้ม” เป็นเพื่อนสนิทของบอย เขาเป็นคนที่ปากเก่ง แต่ใจนี่ป๊อดมาก มีความกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่ตลอด อีกทั้งยังเป็นคนที่รักเพื่อนมาก โดยการแสดงเรื่องนี้ของหนุ่มชิม่อนก็เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งการแสดงที่เจ้าตัวทำออกมาได้ดีมาก ๆ มีความธรรมขาติสุด ยิ่งแสดงเข้าคู่กับหนุ่มเซ้นต์ด้วยแล้วคือเคมีเคใจความเป็นเพื่อนสนิทคือได้มาก ยิ่งฉากกลัวคือทำเอาลุ้นไปด้วยเลย ใครยังไม่ได้ดูทางเราแนะนำเลยค่ะ‘เซ้นต์ ชิม่อน’ รีแอ็คฉากหลอน School Tales The Series ‘เรื่องผีมีอยู่ว่า’ ดูพร้อมกันครั้งแรก!https://youtu.be/SeoPY_qT3CIhttps://www.instagram.com/p/CedFY2KBAdp/?igshid=MDM4ZDc5MmU=https://www.instagram.com/p/CgOhAmovPb0/?igshid=MDM4ZDc5MmU=ชิม่อน วชิรวิชญ์ รับบท เบน ในซีรีส์เรื่องเพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go หนุ่มชิม่อน วชิรวิชญ์ รับบทเป็น “เบน” เขาเป็นทั้งประธานนักเรียนแบะประธานชมรมดนตรี เป็นหนุ่มอารมณ์ดีที่มีความใส่ใจคนอื่น ยิ้มง่าย มีความสดใสอยู่เสมอ ซึ่งเบนนี่แหละที่จะเป็นหนุ่มที่คอยชวนหนึ่งเดียวพูดคุยและชวนเขาเข้าชมรมดนตรีอีกด้วย อีกทั้งดูเหมือนกับว่าเบนจะแอบชอบหนึ่งเดียวอีกด้วยช่องทางการติดตามชิม่อน วชิรวิชญ์Instagram : @chimonacTwitter : @Chimonacวิน ภวินท์ เดินทางมาถึงหนุ่มหล่อคนสุดท้ายจากซีรีส์เรื่องเพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go นั่นคือ “วิน ภวินท์ กุลการัณยวิชญ์” เกิดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2539 ปัจจุบันอายุ 26 ปี หนุ่มวินจบการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีจากคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสยามhttps://www.instagram.com/p/ClVRZpLvO-H/?igshid=MDM4ZDc5MmU=เส้นทางการเข้าสู่วงการบันเทิงของวิน ภวินท์ ในเส้นทางการเข้าสู่วงการบันเทิงของวิน ภวินท์ได้เคยร่วมการประกวดในรายการ BRAVO! BOYS บราโว่บอส์และต่อมาก็ได้แสดงในซีรีส์เรื่อง Bangkok Buddies ใจกลางเมือง และจากผลงานและหน้าตาที่โดดเด่นของหนุ่มวิน ทำให้เขาได้รับบทบาทนำอย่าง นัท ในซีรีส์ดังจากทาง Netflix เรื่อง เคว้ง และเรื่องที่ทำให้เพื่อน ๆ แฟนคลับหลายคนนั้นคุ้นหน้าคุ้นตาเขาเลย นั่นคือซีรีส์เรื่อง เกียร์สีขาวกับกาวน์สีฝุ่น จากทาง GMM เรียกว่าเป็นหนุ่มหล่อใสที่มีการพัฒนาในเรื่องของความสามารถแบบก้าวกระโดดมาก ๆ เลยละค่ะ เยี่ยมมาก✨https://www.instagram.com/p/Cilif-CvRRW/?igshid=MDM4ZDc5MmU=ผลงานห้ามพลาดของวิน ภวินท์แล้วแต่ดาว (Star In My Mind) (2565) ผลงานห้ามพลาดของหนุ่มวิน ภวินท์นั่นคือซีรีส์เรื่อง “แล้วแต่ดาว (Star In My Mind)” จากทาง GMM โดยในเรื่องหนุ่มวินรับบทเป็น “ไม้ที” เป็นหนุ่มหล่อที่อยู่ในแก๊งเดือนคณะ มีคาแรคเตอร์เป็นคนน่ารัด สดใส อารมณ์ดี แถมเฟรนลี่มาก ๆ ซึ่งแน่นอนค่ะว่าหนุ่มวินนั้นแสดงบทบาทของไม้ทีออกมาได้น่ารับหนุบหนับหัวใจมาก ๆ แถมรอยยิ้มของหนุ่มวินนั้นก็เป็นอะไรที่สดใสใจชมพูมากแม่!♥️🫶🏻[Official Trailer] แล้วแต่ดาว | Star In My Mindhttps://youtu.be/LbxTzpWqGWEhttps://www.instagram.com/p/Cc8SRBMPDjA/?igshid=MDM4ZDc5MmU=วิน ภวินท์ รับบท ภูมิ โดยในซีรีส์เรื่องเพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go หนุ่มวิน ภวินท์ รับบทเป็น “ภูมิ” ซึ่งเขาเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนของหนึ่งเดียว เป็นคนที่คอยช่วยเหลือหนี่งเดียวเวลาโดนแกล้ง จะเป็นคนปรามเพื่อนไม่ให้แกล้ง ซึ่งดูภายนอกเหมือนภูมิ จะเป็นคนดีแต่ก็แอบอยากได้ผลประโยชน์จากหนึ่งเดียวอยู่ไม่น้อยช่องทางการติดตามวิน ภวินท์Instagram : @winpwTwitter : @Winpwwก็จบลงไปแล้วนะคะสำหรับ รู้จัก 6 นักแสดง เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go พร้อมเปิดวาร์ป เรียกว่าเป็นซีรีส์อีกหนึ่งเรื่องที่นอกจากพล็อตเรื่องแล้วนั้นในเรื่องของเหล่านักแสดงก็มีความฟิตติ้งกับบทบาทมาก รับรองว่าดูไปจะต้องอินไปอย่างแน่นอนค่ะ! ✨โดยหากเพื่อน ๆ คนไหนชื่นชอบและอยากซัพพอร์ตหนุ่ม ๆ นักแสดงคนไหนก็สามารเข้าไปฟอลโล่ได้ทาง Instagram ได้เลยค่ะ และสุดท้ายนี้เพื่อน ๆ สามารถรับชมซีรีส์เรื่อง เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go ได้ทุก ๆ วันอังคาร เวลา 20:30 น. ทางช่อง GMM25 และทาง YouTube : GMMTV OFFICIAL เริ่มตอนแรกวันอังคารที่ 13 ธันวาคมนี้! #NeverLetMeGoSeries #NeverLetMeGoSeriesEP1 #GMMTVเครดิตภาพหน้าปกโดย@perthppe : ภาพหน้าปก1 / @chimonac : ภาพหน้าปก2 / @phuwintang : ภาพหน้าปก3 / @natsakdatorn : ภาพหน้าปก4 / @winpw : ภาพหน้าปก5 เครดิตภาพประกอบบทความโดย@phuwintang : ภาพที่1 / ภาพที่9 / ภาพที่10 / ภาพที่11 / ภาพที่12 / ภาพที่13@gmmtv : ภาพที่2 @ppnaravit : ภาพที่3 / ภาพที่4 / ภาพที่5 / ภาพที่6 @GMMTV : ภาพที่7 / ภาพที่8 / ภาพที่14 / ภาพที่15 / ภาพที่20 / ภาพที่21 / ภาพที่25 / ภาพที่26 / ภาพที่31 / ภาพที่32 / ภาพที่36 / ภาพที่37@natsakdatorn : ภาพที่16 / ภาพที่17 / ภาพที่18 / ภาพที่19 @perthppe : ภาพที่22 / ภาพที่23 / ภาพที่24 @chimonac : ภาพที่27 / ภาพที่28 / ภาพที่29 / ภาพที่30 @winpw : ภาพที่33 / ภาพที่34 / ภาพที่35 เครดิตวิดีโอประกอบบทความโดย GMMTV OFFICIAL : [Official Trailer] เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go[Official Trailer] ปลาบนฟ้า Fish upon the skyTRAILER THE GIFTED Series[Official Trailer] แล้วแต่ดาว | Star In My MindTrue CJ Creations : Official Trailer - Let's Eat รักล้นพุง | เริ่ม 26 เม.ย.Viu Thailand : [Official Trailer] My Coach ตะลุมรัก ตะลุมบอลNetflix Thailand : ‘เซ้นต์ ชิม่อน’ รีแอ็คฉากหลอน School Tales The Series ‘เรื่องผีมีอยู่ว่า’ ดูพร้อมกันครั้งแรก!บทความที่น่าสนใจ : https://intrend.trueid.net/post/222849https://intrend.trueid.net/post/316654 https://intrend.trueid.net/post/293552https://intrend.trueid.net/post/216817คอมมูนิตี้โลกคนรักหนัง ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน
nowadays girl☀︎︎ • 15 ธ.ค. 65
อ่าน
7 เคมีน่ารักของ ปอนด์ ณราวิชญ์ และ ภูวินทร์ จากซีรีส์ เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว (Never Let Me Go)
ได้ชมกันแล้วสำหรับซีรีส์ "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" (Never Let Me Go) ช่อง GMM25 ผลงานที่ "ปอนด์ ณราวิชญ์ เลิศรัตน์โกสุมภ์) และ "ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน" ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากซีรีส์เรื่องแรกที่แสดงคู่กันเรื่อง "ปลาบนฟ้า" (Fish upon the Sky) โดย "ปอนด์" รับบท "หมอก สัตยา" นักศึกษาจากคณะแพทย์ และ "ภูวินทร์" รับบท "ปี ปฐวี" จากคณะทันตแพทย์ ที่ความรักของพวกเขาเป็นความรักน่ารักที่ประทับใจแฟน ๆ จนต้องติดตามทุก ๆ ผลงานของพวกเขามากระทั่งทุกวันนี้ และรอผลงานซีรีส์เรื่องใหม่ที่จะได้แสดงคู่กันอีก และเมื่อมีผลงานมาให้ชมกันแล้ว เราก็ขอรวม 10 ซีนที่เป็นเคมีน่ารัก ๆ ของพวกเขามาฝากกัน ซึ่งซีรีส์มี 12 ตอน เราขอรวบรวมจาก EP.1 และ EP.2 มาฝากกันก่อน เพราะแค่ 2 ตอน ก็มีมุมน่ารัก ๆ ที่เห็นแล้วฟิน จิ้น แล้วอินไปกับเรื่องราวมากมายแล้ว จะเป็นมุมมองเดียวกับที่เพื่อน ๆ ได้เห็นกันหรือเปล่า ตามมาเลยค่ะ^^ซีรีส์ "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" เป็นเรื่องราวของ "หนึ่งเดียว เกียรติตระกูลเมธี" (ภูวินทร์) ลูกชายคนเดียวของ พิภพ (ศุภกิจ ตังทัตสวัสดิ์) กับ ธัญญ่า (ออร์แกน ราศี) ที่บอกหนึ่งเดียวเสมอมาว่าจะต้องเป็นผู้บริหารธุรกิจของครอบครัวต่อไปในอนาคต แต่ในวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดอายุ 18 ปีของหนึ่งเดียวซึ่งเรียนอยู่ชั้น ม.6 พิภพถูกยิงเสียชีวิต ทำให้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสดใสของเขาได้เปลี่ยนไปทันที ชีวิตของเขากับแม่ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เพราะยังไม่สามารถจับคนร้ายได้ ธัญญ่าจึงขอให้ ชานนท์ (เต้ ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์) ลูกน้องที่ทำงานด้วยกันมานานหาคนมาช่วยดูแลลูกชายเพื่อความปลอดภัยชานนท์จึงให้ ปาล์ม (ปอนด์ ณราวิชญ์) ลูกชายของเขาที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ชลบุรี ลาออกจากโรงเรียนมาเรียนที่เดียวกับหนึ่งเดียวเพื่อจะได้คอยดูแลปกป้อง ที่โรงเรียนใหม่นี้ปาล์มได้รู้จัก ช็อปเปอร์ (เพิร์ธ ธนพนธ์ สุขุมพันธนาสาร), เบน (ชิม่อน วชิรวิชญ์ เรืองวิวรรธน์), ภูมิ (ภวินท์ กุลการัณยวิชญ์), แม็กกี้ (จูน วรรณวิมล เจนอัศวเมธี) และ อั๋น (ฟลุ๊ค พิสิษฐ์ นิมิตสมานจิตต์) เพื่อนร่วมชั้นเรียน ได้รู้ว่า เบนพยายามที่จะใกล้ชิดหนึ่งเดียว ส่วนช็อปเปอร์เป็นลูกพี่ลูกน้อง เพราะเป็นลูกชายของ ศุภกิจ (ณัฐ ศักดาทร) ซึ่งเป็นอาของหนึ่งเดียว ผู้ซึ่งพยายามอย่างยิ่งที่จะเข้ามาดูแลกิจการแทนพิภพแต่ธัญญ่าคอยขวางไว้ และ ภูมิ ก็เป็นลูกชายของนักธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธูรกิจของตระกูลเกียรติตระกูลเมธี ซึ่งปาล์มไม่รู้ว่าใครบ้างที่ไว้ใจได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้ก็คือชีวิตเขา...เพ่ือนายแค่ "หนึ่งเดียว" !!! ดังนั้นเราต้องมาดู 10 เคมีน่ารัก ๆ "ปอนด์ ณราวิชญ์" กับ "ภูวินทร์" กันค่ะ 1. สบตาชานนท์พาปาล์มมาพบธัญญ่าที่คฤหาสถ์เกียรติตระกูลเมธีเพื่อแนะนำตัวให้รู้ว่าลูกชายจะเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ธัญญ่าจึงเสนอให้มาอยู่ที่บ้านและเรียนที่เดียวกับหนึ่งเดียวอย่างเนียน ๆ เพราะไม่ต้องการให้ลูกชายรู้สึกกังวลที่ตนเองไม่ปลอดภัย ปาล์มกับหนึ่งเดียวที่ต่างก็เป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน มองสบตากันด้วยท่าทีสังเกตกันและกัน สายตาปาล์มที่มองเต็มไปด้วยความสุภาพถ่อมตน ขณะที่อีกฝ่ายมองนิ่ง ๆ อย่างสังเกต แม้จะไม่แสดงท่าทีว่ารู้สึกอย่างไร ในฐานะผู้ชมอย่างเราก็รู้สึกได้ว่าในความรู้สึกที่ต่างนั้น ต่างก็มีความสนใจในกันและกัน และที่รู้สึกได้ทันทีก็คือ เรากำลังดูปาล์มกับหนึ่งเดียว ไม่มีความเป็นหมอกกับปี จากซีรีส์ปลาบนฟ้าหลงเหลือให้เห็นอยู่เลย ซึ่งนั่นก็เป็นสัญญาณที่บอกเราอยู่ในทีว่าเราจะสนุกกับซีรีส์ "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" จากผลงานการกำกับของ "โจ้ ทิชากร ภูเขาทอง" อย่างแน่นอน 2. พร้อมป้อน"เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" เล่าเรื่องราวของหนึ่งเดียวกับปาล์ม ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการที่จะก้าวมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของกันและกันในฐานะคุณหนูหนึ่งเดียวที่จะต้องถูกปกป้องจาก ปาล์มเด็กหนุ่มวัยเดียวกันที่เข้ามาในฐานะบอดี้การ์ด ดังนั้นจะให้ต้องมาใกล้ชิดในฐานะเพื่อนอย่างที่หนึ่งเดียวต้องการจึงเป็นเรื่องที่ยากเพราะปาล์มไม่มีสิทธิ์ทำตามใจตัวเองขนาดนั้น หนึ่งเดียวจึงเป็นฝ่ายที่จะเริ่มต้นเข้าไปสนิท ด้วยการชวนมานั่งโต๊ะกินอาหารเช้าด้วยกัน และก็พร้อมจะป้อนหากอีกฝ่ายไม่ยอมกิน ชวนนิ่ง ๆ มองดุ ๆ แบบนายสั่ง แต่แอบแฝงไว้ด้วยความหวานซะงั้น เรายิ้มตามโดยไม่รู้ตัวเลยซีนนี้^^ 3. เคียงข้างหนึ่งเดียวมีท่าทีสบายใจและปลอดภัยเมื่อปาล์มเดินอยู่ข้าง ๆ ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนเมื่อเขาพูดถึงเรื่องที่ชอบเล่นเปียโนเพราะทำให้คนอื่นมีความสุข ปาล์มก็บอกว่าเขารู้สึกว่า หนึ่งเดียวก็มีท่าทีมีความสุขเช่นกัน ความใส่ใจที่คาดไม่ถึงหนึ่งเดียวถึงกับขยับเข้าไปใกล้ หันไปสบตาคนพูด เป็นฉากสนทนาแบบเรียบ ๆ แต่ให้ความรู้สึกดี ๆ ... ดีต่อใจคนดูมากเลย...4. สายไหมหวาน ๆ เราได้เห็นมุมน่ารัก ๆ ของหนึ่งเดียวที่เพิ่งจะมีโอกาสกินสายไหมเป็นครั้งแรก แม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดา ๆ แต่เจ้าตัวกลับรู้สึกพิเศษสุด ๆ เพราะในความธรรมดานั้น เมื่อมีปาล์มรับหน้าที่เป็นคนม้วนสายไหมให้ เป็นฉากเล็ก ๆ อีกฉาก ที่ได้เห็นเคมีความน่ารักของทั้งคู่ ในความเกร็ง ๆ เขิน ๆ ของปาล์มที่อยู่ ๆ คุณหนูก็ส่งขนมหวานชิ้นเดียวกันให้ น่ารักเลยฉากนี้ ภูวินทร์ เล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก ๆ พูดไปเรื่อย ๆ แต่แบบมีความหยอด ปอนด์ เอ้ย !! ปาล์ม อยู่ในที 5. ปกป้องชานนท์ทำหน้าที่ขับรถรับส่งหนึ่งเดียวไปโรงเรียนทุกวัน ขณะที่ปาล์มต้องขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนเอง หนึ่งเดียวไม่รู้สึกถึงความสบายใจต่อการใช้ชีวิตอย่างเหลื่อมล้ำ เพราะแม้ว่าจะอยู่ในสังคมเดียวกันเป็นเพื่อนกัน แต่ก็มีความแตกต่าง ซึ่งเขาก็พยายามลดความแตกต่างนั้นและก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เขาได้เข้าไปสู่อ้อมกอดแห่งการปกป้องของปาล์ม เมื่อมีภัยมาถึงตัว ถึงแม้จะเป็นซีนตื่นเต้น แต่ก็แอบหวานเมื่อทั้งคู่มองสบตากัน6. ความรู้สึกหลังจากที่สูญเสียพ่อ หนึ่งเดียวใช้ชีวิตแต่ละวันด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจ แต่ก็เลือกที่จะเก็บความรู้สึกเมื่ออยู่ต่อหน้าทุก ๆ คน เพื่อปกป้องตัวเองในวิธีของเขา เมื่อถูกเพื่อนในโรงเรียนแกล้ง เขาก็เลือกที่จะนิ่งเฉยด้วยความรู้สึกยอมรับความจริงว่าสำหรับเขาโรงเรียนไม่ใช่เซฟโซน และอีกไม่นานเขาก็จะเรียนจบและไปจากที่นี่ แต่เมื่อมีปาล์มเข้ามาในชีวิต เขาเลือกที่จะพูดกับปาล์ม อย่างตรงไปตรงมาว่าเขาต้องการเพื่อนและขอให้ปาล์มเป็นเพื่อน เป็นคนที่เขาจะพูดคุยด้วยได้ ซึ่งปาล์มก็ตอบรับ อย่างรู้ว่าเขามีหน้าที่ ๆ ต้องทำตามที่คุณหนูหนึ่งเดียวต้องการ ท่าทีของปาล์มอ่อนน้อมในหน้าที่ เราดูด้วยความรู้สึกอยากรู้ต่อไปเลยว่า แล้ว หัวใจล่ะ ! ปาล์มตอบรับคำขอของหนึ่งเดียว ด้วยหัวใจด้วยหรือเปล่า ? 7. หนึ่งเดียวปาล์มถูกย้ายมาเรียนที่โรงเรียนใหม่กลางเทอม และวิชาที่เขาไม่เคยเรียนมาก่อนก็คือภาษาจีน คำแรกที่เขาต้องฝึกพูดถึง "เผิงโหย่ว" ที่แปลว่า "เพื่อน" แต่ก็พูดไม่ได้ หนึ่งเดียวจึงช่วยสอน และให้พูดคำว่าเผิงโหย่วซ้ำ ๆ เพื่อจะได้พูดได้ถูก และแอบใส่คำว่า "หนึ่งเดียว" เข้าไป อย่างตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดก็คือเพื่อน เป็นฉากที่ตอกย้ำความรู้สึกของ หนึ่งเดียวด้วยเคมีน่ารัก ๆ ที่เขาพยายามสื่อสารกับปาล์ม เคมีน่ารัก ๆ ของ "ปอนด์" และ "ภูวินทร์" จากซีรีส์ "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" มีโมเมนต์หวาน ๆ แทรกอยู่ในความเจ้าอารมณ์ของคุณหนูหนึ่งเดียว กับความอ่อนน้อม เกรงใจ + ความหงอแบบสุด ๆ ของปาล์มอยู่ตลอดเวลา ทั้งคู่สวมบทบาทได้อย่างไม่มีหลุดจากคาแร็คเตอร์ที่ได้รับเลย โดยภาพรวมเรื่องนี้เป็นซีรีส์ที่น่าติดตามมาก ๆ ไม่อยากให้พลาดกันเลยค่ะ เรามาติดตามเรื่องราวชีวิตของ "ปาล์ม" กับ "หนึ่งเดียว" ว่าจะผ่านอุปสรรคในชีวิต และเรื่องร้าย ๆ ไปได้อย่างไรด้วยกันนะคะทุกคน^^ คิดตามชม"เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" (Never Let Me Go) ทุกวันอังคาร เวลา 20:30 น.ทางช่อง GMM25 และรับชมแบบ Uncut ได้ทาง Youtube: GMMTV พร้อมกันทั่วโลก ขอบคุณภาพประกอบจาก เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว | NeverLetMeGo / gmmtvภาพปก ภาพที่ 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3 ภาพที่ 4 ภาพที่ 5 ภาพที่ 6 ภาพที่ 7 ภาพที่ 8 ภาพที่ 9 ภาพที่ 10 ภาพที่ 11 ภาพที่ 12 ภาพที่ 13 ภาพที่ 14 - 21 ติดตามซีรีส์ เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว / ปลาบนฟ้า และนักแสดง By ฉันท์ชมา- รีวิวซีรีส์ "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" (Never Let Me Go) ผลงานการแสดง "ปอนด์ ณราวิชญ์" และ "ภูวินทร์ " ทางช่อง "GMM25"- รีวิวเซเว่น : "น้ำเต้าหู้ โทฟุซัง” อิ่มอร่อยและดีต่อใจเพราะ #กินตามภูวินทร์- รีวิว 10 ซีรีส์ Y 2022 จาก GMMTV รับเดือน Pride Month- รีวิวรายการ "Young survivors รุ่นนี้ต้องรอด" รายการที่ต้องดูซ้ำ ๆ เพื่อความรู้ ความบันเทิง นำทีมโดย คริส, เต, ปอนด์, ภูวินทร์, นีโอ, เจมีไนน์ และ โฟร์ท นักแสดงจาก GMMTV คอมมูนิตี้โลกคนรักหนัง ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน
ฉันท์ชมา • 23 ธ.ค. 65
อ่าน
5 เหตุผลที่ควรดู "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" (Never Let Me Go) ซีรีส์ครบรสความสนุก ความรัก ความประทับใจ
ซีรีส์ "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว (Never Let Me Go)" เป็นซีรีส์ที่เชื่อว่าแฟน ๆ ที่ติดตามกันมารอติดตามชมกันทุก ๆ สัปดาห์ เพราะมีเนื้อเรื่องที่สนุกมาก ๆ ทำให้อยากรู้เรื่องราวว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร เรื่องนี้เป็นผลงานเรื่องที่ 2 ของ"ปอนด์-ณราวิชญ์ เลิศรัตน์โกสุมภ์" และ "ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน" ที่ได้แสดงคู่กันหลังจากที่ร่วมงานกันมาแล้วในซีรีส์ "ปลาบนฟ้า" ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมาก ๆ เมื่อมีผลงานด้วยกันอีกครั้ง แต่ก็ไม่ใช่เพียงเท่านั้นที่จะทำให้อยากติดตามดู มีหลาย ๆ เหตุผล ซึ่งเราขอเลือก 5 เหตุผลของตัวเองที่อยากดูซีรีส์เรื่องนี้มาแบ่งปัน ถ้าใครมีเหตุผลอื่น ๆ ก็สามารถเขียนเล่ากันได้เช่นกันนะคะ ต่างคนต่างชอบ มีความเห็นไหนตรงใจกันบ้าง มาดูกันค่ะ :)1. การร่วมงานกันอีกครั้งของ ปอนด์-ภูวินทร์เริ่มต้นก็ต้องย้ำกันที่เรื่องแรกที่พูดถึงกันก่อนเลยค่ะ อย่างที่บอกชอบ "ปอนด์-ภูวินทร์" ที่แสดงคู่กันมาจากซีรีส์ "ปลาบนฟ้า" ดังนั้นการที่จะรอเห็นทั้งคู่มีผลงานด้วยกันอีกจึงเป็นเรื่องที่ลุ้นมาก ๆ ในช่วงเวลานั้น เพราะ "ปลาบนฟ้า" ออกอากาศปี 2021 "ภูวินทร์" เพิ่งก้าวมาจากการเป็นนักแสดงเด็กที่เราติดตามผลงานมานาน ๆ ๆ มาเป็นพระเอกเต็มตัวครั้งแรก ส่วน "ปอนด์" ก็เพิ่งชนะการประกวด “Go On Girl Guy Star Search By Clean and Clear ปี 3” ของ GMMTV ที่เป็นการประกวดหานักแสดงหน้าใหม่ เรียกว่ายังใหม่มาก ๆ กับการแสดงบทนักแสดงนำของทั้งคู่ ดังนั้นหลังจากที่มีผลงานด้วยกันแล้วก็ต้องดูผลตอบรับจากแฟน ๆ ว่าอยากเห็นคู่นี้ร่วมงานกันอีกหรือเปล่า แฟน ๆ ก็ลุ้นทางค่ายว่าจะจัดละครมาให้ทั้งคู่ได้ร่วมงานกันอีกหรือเปล่า และด้วยความที่เคมีความน่ารักของทั้งคู่เข้ากันมาก ๆ ทุกคนจึงสมหวัง ได้รอคอย "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" มาตั้งแต่วันแถลงข่าว GMMTV 2022 ที่ประกาศรายชื่อเรื่องนี้ออกมา ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเหตุผลแรกที่ทำให้รอดูกันเลยค่ะกับ "ปอนด์" ในบท "ปาล์ม" บอดี้การ์ดหนุ่ม และ "ภูวินทร์" ในบท "หนึ่งเดียว" คุณหนูที่ต้องได้รับการปกป้องให้พ้นอันตราย!2. ได้เห็น "เพิร์ธ-ชิม่อน" ร่วมงานกันครั้งแรก ก่อนที่จะได้ดู "หัวใจในสายลม Dangerous Romance""เพิร์ธ ธนพนธ์" มีผลงานซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จทำให้เป็นที่รักของแฟน ๆ มาก่อน เมื่อเขามาเป็นนักแสดงในสังกัด GMMTV ในปี 2022 แฟน ๆ จึงรอคอยที่จะได้เห็นผลงานเรื่องใหม่ รอคอยที่จะได้เห็นบทบาทใหม่ ขณะที่ "ชิม่อน วชิรวิชญ์" เป็นนักแสดงมากความสามารถที่มีผลงานให้เห็นมาอยางต่อเนื่องอยู่แล้วของ GMM เราก็รอผลงานเรื่องใหม่ของ "ชิม่อน" เช่นกัน และเมื่อทั้งคู่ได้มาร่วมรายการ "SAFE HOUSE SS 4 : บ้านลับ จับVOTE LIVE" ก็ได้เห็นเคมีความน่ารักของทั้งคู่จนแฟน ๆ อยากเห็นผลงานการแสดงคู่กัน ในที่สุดก็สุขสมหวังกันถ้วนหน้า เพราะจะมีซีรีส์แนวโรแมนติกดราม่า "หัวใจในสายลม Dangerous Romance" ให้ได้ชมกัน และก่อนจะถึงวันนั้นก็คือวันนี้ที่ทั้งคู่ได้มาร่วมงานกันใน "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" ที่ "เพิร์ธ" รับบท "ช็อปเปอร์" ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนร่วมชั้นเรียนและเป็นลูกพี่ลูกน้องของหนึ่งเดียว ผู้ซึ่งต้องแบกรับปัญหาต่าง ๆ ของครอบครัวไว้ และยังต้องมีความขัดแย้งในใจกับหนึ่งเดียวทั้งเรื่องธุรกิจและความรัก ส่วน "ชิม่อน วชิรวิชญ์" รับบท "เบน" ประธานนักเรียนที่สนใจหนึ่งเดียว ขณะที่ "ช็อปเปอร์" มีใจให้เขา บทที่ทั้งคู่ได้รับเราจึงได้เห็นการแสดงในซีนอารมณ์ที่แสดงออกทางสายตาได้อย่างน่าประทับใจมาก ๆ ซึ่งแน่นอนว่าจะติดตามผลงานของทั้งคู่ใน "หัวใจในสายลม" ต่อจากเรื่องนี้อย่างแน่นอน 3. เป็นผลงานการกำกับของ โจ้ - ทิชากร ภูเขาทองประโยคที่ได้ฟังได้อ่านจากการให้สัมภาษณ์ของนักแสดงอยู่หลาย ๆ ครั้ง ก็คือความรู้สึกดี ๆ ที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับการแสดงอย่าง "โจ้ - ทิชากร ภูเขาทอง" ในฐานะของคนที่ติดตามซีรีส์มาทุก ๆ แนวก็ไม่ลังเลที่จะเลือกดูผลงานเรื่องนั้น ๆ เพราะชื่อ "โจ้ ทิชากร" เช่นกัน และเรื่องนี้ก็เป็นการกำกับซีรีส์วายเรื่องแรก ยิ่งน่าสนใจว่าจะได้เห็นสไตล์การเล่าเรื่องราวของซีรีส์ว่าจะออกมาเป็นแบบไหน "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" จากที่ได้ติดตามดู การเล่าเรื่องแต่ละตอน แต่ละตัวละคร ไม่ได้ดูหวือหวาเร้าใจมากนัก เหมือนเรื่องจะเล่ามาแบบเรียบ ๆ ด้วยซ้ำ แต่ทุกฉากทุกตอนกลับดูน่าสนใจทิ้งปมไว้ให้ต้องติดตามกันทุก ๆ EP กันเลยทีเดียว เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวมาก ๆ ของผู้กำกับคนนี้4. รวมนักแสดงรุ่นใหญ่ฝีมือคุณภาพซีรีส์ "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" มีความเป็นละครมากกว่าซีรีส์วัยรุ่นทั่วไป ตามความตั้งใจของผู้กำกับ "โจ้ ทิชากร" ที่ต้องการทำซีรีส์แนวโรแมนติกดราม่า ดังนั้นนอกจากตัวละครที่จะเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น ก็ยังเต็มไปด้วยนักแสดงรุ่นใหญ่มารับบทสำคัญ ๆ เพราะเรื่องราวหลัก ๆ เป็นเรื่องของการแย่งชิงอำนาจในเรื่องของธุรกิจที่ส่งผลมาถึงรุ่นลูก ซึ่งก็คือพ่อแม่ของหนึ่งเดียว "แมน ศุภกิจ" รับบทพ่อของหนึ่งเดียวที่จัดเตรียมให้หนึ่งเดียวได้มาดูแลธุรกิจต่อจากตนเองแต่กลับถูกยิงเสียชีวิตในวันที่หนึ่งเดียวยังไม่พร้อม "ออร์แกน ราศี" ซึ่งรับบทเป็นแม่จึงต้องมารับหน้าที่ดูแลธุรกิจแทนจนกว่าหนึ่งเดียวจะพร้อมมารับหน้าที่นี้ "เต้ ปิติศักดิ์" และ "ปนัดดา เรืองวุฒิ" ในบทพ่อแม่ของปาล์ม ซึ่งทั้งคู่ได้แยกทางกัน ปาล์มอยู่ในความดูแลของพ่อจึงได้มารับหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้หนึ่งเดียวตามที่พ่อสั่ง แต่เมื่อถููกตามล่าเขาจึงพาหนึ่งเดียวไปขอความช่วยเหลือจากแม่ และ "ณัฐ ศักดาทร" ในบทอาของหนึ่งเดียวและเป็นพ่อของช็อปเปอร์ ที่ต้องการยึดธุรกิจของครอบครัวเป็นของตนเองเรียกว่าแต่ละคนรับบทหนักและต้องเชือดเฉือนอารมณ์กันมาก ๆ เมื่อนักแสดงรุ่นใหญ่ปะทะคารมกันอย่างไม่มีใครยอมใครตามบทบาทที่ได้รับ เหล่านักแสดงวัยรุ่นก็ได้รับพลังงาน++ส่งมาให้จนต้องจัดเต็มโชว์ความสามารถกันอย่างเต็มที่เช่นกัน ยิ่งทำให้ซีรีส์สนุกมากยิ่งขึ้นแมน ศุภกิจ ตังทัตสวัสดิ์ออร์แกน ราศี ดิศกุล ณ อยุธยา เต้ ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์ลูกนัท ปนัดดา เรืองวุฒิณัฐ ศักดาทร5.เนื้อเรื่องซีรีส์และตัวละครเพื่อนพ้องการจะดูซีรีส์ให้สนุกสิ่งแรกที่เราคาดหวังนอกเหนือจากนักแสดงที่ติดตามผลงานของเขาอยู่แล้วก็คือเนื้อเรื่องว่าสนุกน่าติดตามแค่ไหน "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" เล่าเรื่องราวของ "หนึ่งเดียว" ลูกชายของนักธุรกิจที่ชีวิตดีพร้อมไปทุกด้าน แต่สถานการณ์ในชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงไปเมื่อพ่อเสียชีวิตโดยไม่รู้ว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสังหารครั้งนี้ ชีวิตของเขาจึงไม่ปลอดภัยอีกต่อไปและเขาก็ไม่สามารถไว้ใจใครได้นอกจากแม่และบอดี้การ์ดของแม่ที่ส่งลูกชาย "ปาล์ม" มาดูแลทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน ซึ่งที่โรงเรียนนั้นปาล์มเป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งบอดี้การ์ดและเพื่อน ๆ ของหนึ่งเดียวจึงเป็นเพื่อนของปาล์มด้วยเช่นกัน สิ่งที่ทำให้ซีรีส์น่าดูมาก ๆ ก็คือการเล่าเรื่องผ่านทุก ๆ ตัวละครทั้งนักแสดงรุ่นใหญ่และนักแสดงวัยรุ่นที่มาร่วมงานกันในเรื่องนี้ นอกจาก ปอนด์, ภูวินทร์, เพิร์ธ, ชิม่อน ก็ยังมี "ภวินท์ กุลการัณยวิชญ์" ในบท "ภูมิ" ที่ครอบครัวของเขาต้องมีปัญหาเพราะการตัดสินใจทางด้านธุรกิจของครอบครัวหนึ่งเดียว "ฟลุ๊ค พิสิษฐ์ นิมิตสมานจิตต์" ในบท "อั๋น" เพื่อนร่วมชั้นที่ดึงปาล์มเข้าสู่สังคมเพื่อนในโรงเรียนด้วยการชวนมาเล่นบาสด้วยกัน และ "จูน วรรณวิมล เจนอัศวเมธี" ในบท "แม็กกี้" ผู้ซึ่งมีความสุขกับการได้ทำตามเส้นทางความฝันของตัวเอง และปรารถนาที่จะให้ปาล์มเป็นตัวของตัวเองเช่นกัน ทุก ๆ ตัวละครล้วนแล้วแต่มีเรื่องราวให้ติดตาม รวมทั้งสนุกกับการติดตามเรื่องราวของทุกคนผ่านเส้นทางชีวิตของ "หนึ่งเดียว" และ "ปาล์ม" ว่าท้ายที่สุดแล้วชีวิตของพวกเขาจะดำเนินต่อไปอย่างไร"เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" (Never Let Me Go) ออกอากาศทุกวันอังคาร เวลา 20.30 น. ทางช่อง GMM25 และทาง YouTube : GMMTVยังมีอีกหลาย ๆ เหตุผลที่ทำให้อยากดู "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" แต่เล่าสู่กันฟังเพียงเท่านี้ก่อนนะคะ โอกาสหน้าจะมาเล่าต่อค่ะ ยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องราวที่อยากเขียนถึง รวมทั้งเพลงประกอบซีรีส์ของเรื่องนี้ที่เพราะมาก ๆ ก็อยากจะบันทึกเรื่องราวไว้เช่นกัน :)ติดตามเรื่องราว ปอนด์ ณราวิชญ์ และ ภูวินทร์ - รีวิวซีรีส์ "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" (Never Let Me Go) ผลงานการแสดง "ปอนด์ ณราวิชญ์" และ "ภูวินทร์ " ทางช่อง "GMM25"- 7 เคมีน่ารักของ ปอนด์ ณราวิชญ์ และ ภูวินทร์ จากซีรีส์ เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว (Never Let Me Go)- รีวิว The Warp Effect รูปลับรหัสวาร์ป ซีรีส์ไทยที่ไม่ใช่แค่เรื่องเพศศึกษา สนุก ครบทุกอารมณ์- รีวิวเซเว่น : "น้ำเต้าหู้ โทฟุซัง” อิ่มอร่อยและดีต่อใจเพราะ #กินตามภูวินทร์- รีวิวรายการ "Young survivors รุ่นนี้ต้องรอด" รายการที่ต้องดูซ้ำ ๆ เพื่อความรู้ ความบันเทิง นำทีมโดย คริส, เต, ปอนด์, ภูวินทร์, นีโอ, เจมีไนน์ และ โฟร์ท นักแสดงจาก GMMTV ขอบคุณภาพประกอบ gmmtv / chimonacภาพปก ภาพที่ 1-2 ภาพที่ 3 ภาพที่ 4 ภาพที่ 5 ภาพที่ 6-10 ภาพที่ 11 ภาพที่ 12-13 ภาพที่ 14 ภาพที่ 15-16 ภาพที่ 17 ภาพที่ 18 ภาพที่ 19 คอมมูนิตี้ “โลกคนรักหนัง” ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน
ฉันท์ชมา • 21 ม.ค. 66
อ่าน
รีวิวซีรีส์ "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" (Never Let Me Go) ผลงานการแสดง "ปอนด์ ณราวิชญ์" และ "ภูวินทร์ " ทางช่อง "GMM25"
ตั้งแต่วันที่ "GMMTV" ประกาศรายชื่อซีรีส์วายที่จะออกอากาศในช่อง GMM25 ในปี 2022 และหนึ่งในจำนวนนั้นมีซีรีส์เรื่อง "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" (Never Let Me Go) ช่อง GMM25 ซึ่งเป็นผลงานที่ "ปอนด์-ณราวิชญ์ เลิศรัตน์โกสุมภ์" และ "ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน" จะกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง หลังจากที่ทั้งคู่ประสบความสำเร็จอย่างมากจากซีรีส์ "ปลาบนฟ้า" เราเป็นหนึ่งคนที่รอเลย เพราะชื่นชอบผลงานของทั้งสองหนุ่มอยู่แล้ว อยากจะเห็นทั้งคู่ได้ร่วมงานกันอีกในซีรีส์เรื่องต่อ ๆ ไป และในวันแถลงข่าวนั้นตัวอย่างซีรีส์ที่ออกมาก็น่าสนใจมาก ๆ กับเนื้อเรื่องที่เขียนเป็นบทโทรทัศน์จากพล็อตเรื่องที่คิดขึ้นมาใหม่ และได้นำมาเขียนเป็นนวนิยายในภายหลัง เราเชื่อว่ามีความคิดตรงกับหลาย ๆ คน ที่ตั้งใจว่าแม้จะซื้อนิยายไว้ในครอบครองแล้วก็ตามแต่จะยังไม่อ่าน เพราะจะขอดูซีรีส์ ขอติดตามเรื่องราวชีวิตของ "หนึ่งเดียว" และ "ปาล์ม" จากการแสดงของ "ปอนด์" กับ "ภูวินทร์" ลุ้นไปทุก ๆ สัปดาห์ที่ซีรีส์ออกอากาศ จนกว่าซีรีส์จะจบแล้วถึงค่อยหยิบนิยายมาอ่าน และหลังจากที่รอคอยมานาน ช่วงเวลานี้ "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" ก็ออกอากาศให้ชมกันแล้วคะ"เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" เล่าถึงเรื่องราวของ "หนึ่งเดียว" (ภูวินทร์) ลูกชายคนเดียวของนักธุรกิจ ชีวิตต้องพลิกผันอย่างกะทันหันเมื่อ "พิภพ" (ศุภกิจ ตังทัตสวัสดิ์) คุณพ่อของเขาเสียชีวิตเพราะถูกลอบยิงในวันครบรอบอายุ 18 ปีของเขา ธัญญ่า (ออร์แกน ราศี) แม่ของ "หนึ่งเดียว" จึงขอให้ "ชานนท์" (เต้ ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์) ลูกน้องคนสนิทของ "พิภพ" ที่ดูแล "หนึ่งเดียว" มาตั้งแต่เด็ก ๆ หาคนมาดูแล "หนึ่งเดียว" เพราะรู้ดีว่าชีวิตของเธอกับลูกไมปลอดภัยอีกต่อไป เพราะ "ศุภกิจ" (ณัฐ ศักดาทร) น้องชายของสามี ก็ต้องการที่จะเข้ามายึดธุรกิจของครอบครัวเธอ "ชานนท์" จึงไปรับ "ปาล์ม" (ปอนด์ ณราวิชญ์) ลูกชายของเขาที่มองไม่เห็นอนาคตของตัวเองเลยว่าจะทำอะไร เพราะเก่งแค่จับปลา เล่นกีฬา และถนัดสุด ๆ กับงานใช้กำลังให้ย้ายมาเรียน ม.6 ที่โรงเรียนเดียวกับ "หนึ่งเดียว" เพ่ื่อจะได้ดูแล "หนึ่งเดียว" และตั้งแต่นั้น ชีวิตของทั้งคู่ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง "คุณหนู" กับ "บอดี้การ์ด" จึงไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป น่าติดตามกับทุกเรื่องราวของพวกเขามาก ๆ !!!"เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" เปิดตัวด้วยบรรยากาศของโรงแรมหรู แต่เป็นการเปิดตัวนักแสดงอย่างเรียบง่ายในงานวันเกิดของ "หนึ่งเดียว" ที่มีอายุครบ 18 ปี มีเพียงพ่อแม่และ "ชานนท์" ลูกน้องคนสนิทของพิภพ เสียงเปียโนเพลงฝากใจไว้ จากฝีมือของ "หนึ่งเดียว" เพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์จากเสียงร้องของ "ธัญญ่า" และ "พิภพ" โดยมี "ชานนท์" ทำหน้าที่ถ่ายคลิปภาพความประทับใจนี้ไว้ ภาพบรรยากาศสบาย ๆ แต่เล่าถึงความเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ทำให้รู้จักตัวละคร "หนึ่งเดียว" ผู้มีความสุขกับชีวิต เพราะครอบครัวได้ให้ทุกอย่างกับเขาแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาต้องการก็เป็นเพียงขอให้พ่อมีสุขภาพที่แข็งแรง ปลอดภัย อยู่กับเขาไปนาน ๆ เท่านั้น และยังได้รู้ด้วยว่าหนุ่มน้อยที่เรียนอยู่ชั้น ม.6 คนนี้ เก่งทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน เป็นลูกคนเดียวของครอบครัว และเป็นความหวังเดียวที่จะสานต่อธุรกิจของครอบครัว รวมทั้งธุรกิจโรงแรม การเปิดเรื่องแบบละมุน ๆ แต่ได้ทำความรู้จัก "หนึ่งเดียว" กับการแสดงอย่างเป็นธรรมชาติของทุกคนมาก ๆ ขณะเดียวกันก็ตัดภาพไปที่มาดเท่ ๆ ของ "ปาล์ม" ให้เห็นถึงการใช้ชีวิตหนุ่มชาวเล เป็นการตัดภาพให้ดูเพียงช่วงสั้น ๆ ยังไม่สามารถทำให้ได้รู้จักเขามากนักในช่วงแรก แต่ก็เป็นเสน่ห์ให้อยากรู้เรื่องราวของเขามากขึ้นเรื่อย ๆนักแสดง "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" นอกจาก "ปอนด์" กับ "ภูวินทร์" ที่เป็นนักแสดงหลักที่เราตั้งใจจะดูซีรีส์เรื่องนี้ เพราะอยากเห็นผลงานการแสดงต่อจากซีรีส์ "ปลาบนฟ้า" และเมื่อได้ดูซีรีส์ได้ชมนักแสดงรุ่นใหญ่มากความสามารถอย่าง ออร์แกน ราศี, ณัฐ ศักดาทร, เต้ ปิติศักดิ์, ปนัดดา เรืองวุฒิ มาร่วมงานด้วย ก็ยิ่งอยากดู เพราะเคยติดตามผลงานของทุกคนมาแล้ว "ออร์แกน ราศี" และ "ณัฐ ศักดาทร" เป็นตัวละครที่เราชอบมาก ๆ เปิดฉากมาเมื่อต้องเผชิญหน้ากันก็ประกาศความเป็นศัตรูอย่างไม่มีใครยอมใคร "ออร์แกน ราศี" ในบท "ธัญญ่า" ในฐานะกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของทุกบริษัทในเครือ ปรากฏตัวต่อหน้านักข่าวด้วยมาดนางพญาสุด ๆ ทั้งสวย ทั้งสง่า ส่วน "ณัฐ ศักดาทร" ในบท "ศุภกิจ" อาของ "หนึ่งเดียว" ก็ประกาศความเป็นคนร้าย ๆ ให้เห็นกันแบบไม่มีกั๊กทั้งสีหน้า ท่าทาง ไม่น่าไว้ใจสุด ๆ ดูไปลุ้นไปว่าอยู่ให้ห่าง "หนึ่งเดียว" จะดีที่สุด ด้วยความสามารถของทั้งคู่ ทำให้สนุกกับการที่จะติดตามทุก ๆ ตอนกันเลยทีเดียวนอกจาก "ปอนด์" และ "ภูวินทร์" กลุ่มนักแสดงวัยรุ่นที่ร่วมก๊วนเรียนชั้นเดียวกับทั้งคู่ก็ยังมี "เพิร์ธ ธนพนธ์" รับบท "ช็อปเปอร์" ลูกชายของ "ศุภกิจ" ที่ผู้เป็นพ่อปลูกฝังให้พร้อมที่จะแย่งทุกอย่างจาก "หนึ่งเดียว", "ชิม่อน วชิรวิชญ์" รับบท "เบน" ประธานนักเรียน ที่แอบมอง "หนึ่งเดียว" ด้วยความรู้สึกดี ๆ ตลอดมา รวมทั้ง ภวิน ภวินท์, จูน วรรณวิมล, ฟลุ๊ค พิสิษฐ์ ซึ่งเป็นเพื่อนในกลุ่ม ที่ต่างก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจให้ติดตามกัน และทำให้ซีรีส์เรื่องนี้เพิ่มความน่าดูเข้าไปอีก"เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" ซีรีส์แนวโรแมนติก ดราม่า เป็นผลงานการกำกับการแสดงของ "โจ้ ทิชากร ภูเขาทอง" ที่จะทำให้เราได้รู้จัก "ปอนด์" และ "ภูวินทร์" ในบทบาทการแสดงที่เราไม่เคยเห็นกันมาก่อน ความเคมีเข้ากันของทั้งคู่จาก "ปลาบนฟ้า" เรื่องนี้จะแตกต่างจากเดิม เพิ่มเติมคือความเข้าใจกันมากขึ้นในการทำงานร่วมกันกับความท้าทายครั้งใหม่ครั้งนี้ รอติดตามกันเลยค่ะ "เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว" (Never Let Me Go) ออกอากาศทุกวันอังคาร เวลา 20.30 น. ทางช่อง GMM25 และทาง YouTube : GMMTV ขอบคุณภาพประกอบจาก gmmtv / GMMTVภาพปก / ภาพที่ 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3 ภาพที่ 4 ภาพที่ 5ภาพเดี่ยว เซ็ทที่ 1 / เซ็ทที่ 2 คอมมูนิตี้โลกคนรักหนัง ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน
ฉันท์ชมา • 16 ธ.ค. 65
อ่าน
รีวิว เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go ซีรีส์โรแมนติก ดราม่า เรื่องราวหน้าที่กับหัวใจที่กลายเป็นเรื่องเดียวกัน ปอนด์ - ภูวินทร์
รีวิวซีรีส์เรื่องใหม่ช่อง GMM25 เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go ซีรีส์วายแนวโรแมนติก ดราม่า เรื่องราวความรักท่ามกลางควันปืน นำแสดงโดย ปอนด์ ณราวิชญ์ และภูวิน ภูวินทร์ ที่พลิกบทบาทวัยรุ่นลุคสดใสสู่บทดราม่าเข้มข้นแบบที่เราไม่เคยได้เห็นมาก่อน บอกเลยว่า แค่ออนแอร์อีพีแรกก็ได้รับความสนใจจนขึ้นเทรนด์บนทวิตเตอร์ ซึ่งถ้าใครอยากรู้ว่าซีรีส์เรื่องนี้จะเป็นอย่างไร จะดราม่าเข้มข้นหนักแค่ไหน ตามลงมาอ่านกันเลย!เรื่องย่อ เรื่องราวของ ปาล์ม (ปอนด์ ณราวิชญ์) เด็กหนุ่มชาวเลที่ต้องย้ายเข้ามาเรียนและรับหน้าที่ในการดูแลคุณหนู หนึ่งเดียว (ภูวิน ภูวินทร์) ตามคำสั่งพ่ออย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้หนึ่งเดียวได้รับอันตรายจากบุคคลรอบกายที่จ้องจะเล่นงาน ทว่าสิ่งที่หนึ่งเดียวต้องการได้รับกลับไม่ใช่บอดี้การ์ด แต่เป็นเพื่อนที่คอยพูดคุยและรับฟังเขาอย่างจริงใจ ปาล์มจะทำอย่างไรกับคำขอนี้ และจะทำอย่างไรกับความสัมพันธ์ระหว่างเขาและคุณหนูหนึ่งเดียว เมื่อความใกล้ชิดทำให้เขาต้องเลือกระหว่างหน้าที่และหัวใจ มาติดตามเรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต่อได้ใน เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go รีวิวหลังดูพาร์ทนักแสดง ใครที่เคยมีภาพจำปอนด์ ภูวินทร์ ด้วยลุคใสๆ วัยมหา’ลัยจากซีรีส์เรื่อง ปลาบนฟ้า จะรู้สึกเซอร์ไพรส์กับการเปลี่ยนลุคของทั้งคู่ในครั้งนี้มากจ้า เพราะเรื่องนี้ ปอนด์ มาในลุคใหม่กับการเปิดตัวในซีรีส์ด้วยบท ปาล์ม หนุ่มชาวเลที่เติบโตมากับท้องทะเล เก่งกีฬา การต่อสู้ และมีเหตุจำเป็นต้องย้ายมาอยู่กับพ่อเพื่อคอยดูแลคุณหนูหนึ่งเดียว ลูกของผู้มีพระคุณของตัวเองกับพ่อ ส่วน ภูวินทร์ ก็ลบคราบหนุ่มสดใสร่าเริงมารับบท หนึ่งเดียว คุณหนูตระกูลใหญ่ที่พ่อถูกลอบยิงในวันเกิดของตัวเอง มีความหม่นๆ ในตัวเอง ชอบสุดคือการเล่นดนตรี ดูเป็นลุคคุณหนูเอาแต่ใจที่เหมือนคิดอะไรในใจอยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่าการพลิกบทบาทของทั้งคู่ ทำให้เราได้เห็นเคมีความฟินในอีกรูปแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอีก 1 คู่ที่ขอพูดถึง คือ เพิร์ธ ธนพนธ์ กับชิม่อน วชิรวิชญ์ ที่ตีคู่กันมากับตัวละครหลักในบทช็อปเปอร์ และเบน ซึ่งก็เป็นการพลิกคาแรคเตอร์ของทั้งคู่อีกเช่นกัน อยากให้ทุกคนได้ลองดู เพราะคู่นี้มีเสน่ห์ และเคมีดีมากจนอยากดูซีรีส์เรื่องต่อไปของทั้งคู่เลยจ้าพาร์ทเนื้อเรื่อง แค่ชื่อเรื่องก็ชวนดราม่าแล้ว มีการสอดแทรกเรื่องวงการธุรกิจ อำนาจ และเรื่องราวในโรงเรียนที่น่าจะมีอะไรมากกว่านั้น เพราะตัวละครหลักยังใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียน แอบคาดเดาว่าน่าจะมีเรื่องของมิตรภาพเข้ามาด้วย แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้สนใจ คือ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลอบฆ่าพ่อของหนึ่งเดียว เพราะทุกตัวละครร้ายออกมาให้เราเห็นได้ชัดจนเกินไป ยิ่งทำให้เราสงสัยว่า อาจจะมีตัวร้ายสักตัวที่ซ่อนอยู่ในกลุ่มที่ดูเป็นคนดี ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือไม่ ต้องรอดูในซีรีส์จ้าพาร์ทภาพและเสียง ภาพของซีรีส์เรื่องนี้มีการคุมโทนแบบชัดเจนมาก ดูหม่นหมองไม่สดใสตรงตามคาแรคเตอร์ของตัวละคร ส่วนเรื่องเสียงประกอบ ส่วนตัวชอบการใส่เสียงดนตรีที่ตัวละครหนึ่งเดียวเปิดฟังหรือเล่นดนตรี ซึ่งทำให้เราได้รู้ว่าตัวละครตัวนี้กำลังคิดอะไรอยู่ในใจพาร์ทภาพรวม ขอให้คะแนนที่ 9.5/10 โดยรวมดี นักแสดงเล่นดีทำคนดูอินกับบท ภาพและเสียงไม่มีสะดุด เนื้อเรื่องน่าสนใจ แต่ยังมีอีกนิดในส่วนของปมครอบครัวที่แอบสะกิดใจนิดหน่อย ซึ่งต้องรอดูต่อไปว่าจะมีเรื่องราวอะไรที่ซ่อนอยู่ในปมครอบครัวบ้างสำหรับใครที่อยากจะให้กำลังใจ ปอนด์ ณราวิชญ์ - ภูวิน ภูวินทร์ และติดตามซีรีส์เรื่อง เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go สามารถติดตามซีรีส์เรื่องนี้ได้ทุกวันอังคาร ทางช่อง GMM25 หรือติดตามย้อนหลังได้ทาง YouTube : GMMTV Officialตัวอย่างซีรีส์ เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go https://youtu.be/p8AwJVKAJAMขอบคุณตัวอย่างซีรีส์ เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go จาก YouTube : GMMTV Officialขอบคุณภาพประกอบบทความ จาก Twitter GMMTV : ภาพหน้าปก / 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 คอมมูนิตี้โลกคนรักหนัง ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน
เล่าจากลัง • 16 ธ.ค. 65
อ่าน
รีวิว: Let’s Go JETS! (2017) เชียร์เกิร์ล! เชียร์เธอ
Let's Go, JETS (2017) เชียร์เกิร์ล เชียร์เธอหนังที่สร้างจากเรื่องจริงของทีม JETS เชียร์เกิร์ลจากโรงเรียนมัธยม ฟุคุอิ เมืองเล็ก ๆ ไกลปืนเที่ยง ที่คงไม่มีใครเคยคิดฝันว่าจะกลายเป็นแชมป์การแข่งขันเชียร์แดนซ์ถึงอเมริกาครั้งแรกในปี 2009 แล้วจากที่ลองหาข้อมูลดูปัจจุบันก็เป็นแชมป์มา 5 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี 2013-2017 เลยทีเดียวฮิคาริ โทโมนากะ (Suzu Hirose) สาวน้อยที่เพิ่งขึ้นมัธยมปลายปีแรก มีเรื่องให้ต้องหนักใจวัยรุ่นว่าตัวเองจะเข้าชมรมไหนดี เข้าที่นู่นก็กลัวจะไม่เท่ เข้าที่นี่ก็กลัวจะไม่ได้สวย แต่หลังจากได้เหลือบไปเห็นสาวรุ่นพี่ชมรมเชียร์ได้แต่งตัวสวยกันทุกคน เธอจึงตัดสินใจว่านี่แหละที่ชั้นต้องการ…จึงชวนให้เพื่อนซี้อีกสองคนเข้าไปสมัครด้วยเพียงแต่ว่าหลังจากเข้าชมรมคลาสแรกเพื่อน ๆ ของ ฮิคาริ ก็ถอดใจกันไปเสียหมด เมื่อทนกับกฎระเบียบและความโหดของครู ซาโอโตเมะ (Yûki Amami) ไม่ได้ แต่ว่า ฮิคาริ ตัดสินใจเดินหน้าต่อเพราะว่า โคสุเกะ (Mackenyu) เพื่อนเก่านักฟุตบอลประจำโรงเรียนที่เธอแอบชอบอยู่บอกว่า มันคงจะดีนะหากเธอไปเชียร์ข้างสนาม…ฮิคาริ เลยตัดสินใจว่าเอาไงเอากัน(วะ)แต่ว่าการเป็นเชียร์เกิร์ลมันไม่ใช่แค่การไปเต้นยกแข้งยกขาเข้าจังหวะข้างสนาม เมื่อเป้าหมายของครู ซาโอโตเมะ คือการไปแข่งขันชิงแชมป์ที่อเมริกา ซึ่งหลังจากที่ทดสอบพื้นฐานของแต่ละคนก็ทำให้ ฮิคาริ รู้แล้วว่า ไม่ต้องไปถึงอเมริกาหรอกแค่ปากซอยโรงเรียนยังไม่พ้นเลย ฮ่าฮ่า แต่ ฮิคาริ กับคนอื่นในชมรมก็ไม่ยอมถอดใจและสู้ต่อ เพราะว่าในตอนนี้ทุกคนไม่ใช่แค่ทีมแต่ทุกคนคือเพื่อนกันขอบคุณเครดิตรูปภาพประกอบบทความจากภาพยนตร์ : Let's Go, JETS (2017) ที่มา : Linkถามว่านอกจากสาว ซึสึ ที่ดีงามแล้วหนังยังมีอะไรดีงามอีกบ้าง คงจะตอบได้ว่าแทบทุกส่วนเลยนะ Let's Go, JETS (2017) เรื่องนี้เป็นหนังสร้างแรงบันดาลใจที่ดีเรื่องหนึ่ง เริ่มต้นเลยหนังพูดถึงเด็กนักเรียนอย่าง ฮิคาริ กับเพื่อน ๆ ที่เหมือนกับเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่ไม่รู้ตัวเองว่าชอบอะไรอยากทำอะไรกันแน่ ซึ่งการเข้าร่วมชมรมนี่แหละเป็นสิ่งที่จะทำให้เราได้รู้ เพราะหากเราไม่ลงมือทำมันเสียก่อน เราจะรู้ได้ยังไงว่าเราชอบหรือไม่ชอบสิ่งที่กำลังทำอยู่หลังจากที่เรารู้แล้วว่าเราอยากทำในสิ่งไหน บทเรียนต่อไปที่เราต้องเรียนรู้ก็คือความล้มเหลว เพราะความสำเร็จมันไม่ได้มาง่าย ๆ บางครั้งแค่ความพยายามมันยังไม่พอ เมื่อล้มเหลวแล้วก็ต้องลุกขึ้นสู้พยายามอีกครั้ง ทำงานให้หนักกว่าเดิม ในบางสถานการณ์ความผ่อนคลาย อาจจะช่วยให้การทำงานร่วมกันได้ผลดี แต่ในบางครั้งความกดดันมันก็ทำให้คนเรา ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้เช่นกัน เหมือนกับที่ ครูซาโอโตเมะ พยายามกดดันผลักดันทุกคน จนหลายครั้งมันก็อาจจะสร้างรอยร้าวเล็ก ๆ เหมือนกัน หากแต่ละคนไม่เข้าใจกันและกันมากพอขอบคุณเครดิตรูปภาพประกอบบทความจากภาพยนตร์ : Let's Go, JETS (2017) ที่มา : Linkบางอย่างในหนังสะท้อนเรื่องราวของการทำงานเป็นทีม การแข่งขันกันภายในทีมได้ดีเลยนะ อย่างตอนที่ ฮิคาริ บาดเจ็บไม่สามารถซ้อมกับเพื่อน ๆ ได้ มันก็ทำให้เราเห็นมุมมองของคนที่อยากทำในสิ่งที่รักแต่ไม่สามารถทำอะไร ได้แค่เพียงยืนดูและแสดงความยินดีกับเพื่อน ๆ ที่ได้ลงแข่งขัน ทำให้เข้าใจอารมณ์ของคนที่เป็นนักกีฬาอาชีพได้เหมือนกันนะบางครั้งเราอาจจะคิดแบบคนนอกที่ว่านักกีฬาอาชีพรับค่าเหนื่อยกันตั้งเยอะ แค่ซ้อมแล้วกลับบ้านเป็นตัวสำรองนั่งข้างสนามสบายจะตาย แต่คนที่เขาไปถึงระดับอาชีพได้ ก็เพราะเขาไม่ได้คิดแค่นั้น เขาลงทุนชีวิตไปเยอะอาจจะไม่ได้เรียนหนังสือ ต้องฝึกซ้อมอยู่ในกฎระเบียบของต้นสังกัดตลอดเวลา ฉะนั้นทั้งหมดที่เหนื่อยมาเขาก็อยากจะโชว์มันลงในสนามการแข่งขันจริงบางครั้งชัยชนะก็อาจจะต้องแลกมาด้วยการเสียสละ เพราะว่าการทำงานเป็นทีมบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน อาจจะเหมาะสมแตกต่างกัน ในบางเวลาเราอาจจะต้องการคนที่เข้มแข็งเป็นผู้นำทุกคนได้ แต่วิธีชนะในการแข่งขันบางครั้งหัวใจที่คอยผลักดันคนอื่นมันก็สำคัญไม่แพ้กันขอบคุณเครดิตรูปภาพประกอบบทความจากภาพยนตร์ : Let's Go, JETS (2017) ที่มา : Linkสรุปแล้ว Let's Go, JETS (2017) เชียร์เกิร์ล เชียร์เธอ หนังที่ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็น ความเด็กไร้เดียงสาในทีแรก ก่อนที่พวกเธอจะค่อย ๆ โตขั้นเรื่อย ๆ ต้องรับความผิดหวัง กดดัน และก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้นเพื่อคว้าชัยชนะให้ได้ แม้หนังจะพูดถึงความสำเร็จของคนกลุ่มหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เล่าในมุมมองสวยงามเสียทีเดียว แต่อยู่บนความจริงที่ว่าไม่มีความสำเร็จใดได้มาโดยง่าย ปราศจากบาดแผลความเจ็บปวดมาก่อนDirector: Hayato Kawaiขอบคุณเครดิตรูปภาพหน้าปกจากภาพยนตร์ : Let's Go, JETS (2017) sahamongkolfilm.comเขียนโดยแอดมิน เพจ ปีนรั้วดูหนัง
ปีนรั้วดูหนัง • 8 เม.ย. 63
อ่าน
Never Let Go ผูกเป็น หลุดตาย
เรื่องย่อ Never Let Go ผูกเป็น หลุดตาย ชื่อเรื่อง Never Let Go (ผูกเป็น หลุดตาย)ประเภท ดรามา / ระทึกขวัญนำแสดงโดย ฮัลลี เบอร์รี, อันโทนี บี. เจนกินส์, เพอร์ซีย์ แด็กซ์ส ที่ 4กำกับโดย อเล็กซานเดร เอจากำหนดฉาย 19 กันยายน 2024ความยาว 101 นาที อ่านรีวิวหนังได้ที่นี่
เรื่องย่อหนัง • 14 ก.ย. 67
อ่าน
รีวิว Never Have I Ever (ไม่สปอยล์)
Never Have I Ever (ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย) รีวิวซีรีส์จากNetflix (เพลินดี) (ไม่สปอยล์)ความยาว: 30 นาทีต่อตอน (10 ตอน)ประเภท: คอเมดี้/ ดราม่าโชว์รันเนอร์: มินดี้ คาร์ลิง/ เเลง ฟิชเชอร์มินดี้ คาร์ลิงคือหนึ่งในดาราตลกที่มีสายเลือดอินเดียที่เฉิดฉายมาจากซีรีส์The Mindy Project (2012-2017) เเต่เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเธอมาจากภาพยนตร์เรื่อง Ocean's 8 เเล้วในปีนี้เธอขอมาถ่ายทอดประสบการณ์ในชีวิตของเธอที่ได้พบเจอมาเป็นซีรีส์ที่ฉายทาง Netflix ในตอนนี้เรื่องย่อ: หลังจากผ่านปีเเห่งความโศกเศร้า สาวน้อยวัยรุ่นอินเดียนอเมริกันเปลี่ยนชีวิตของเธอให้มาดูเฉิดฉายมากขึ้น เเต่ทั้งเพื่อน ครอบครัวเเละความรู้สึกในใจก็มาเป็นอุปสรรครีวิว: หากใครดูเเล้วไม่คิดอะไรเรื่องประเด็นเล็กๆน้อยๆมากจะสนุกเลย ขอการันตีเลยว่า ดูซีรีส์นี้เพลินมาก เพลินตั้งเเต่ตอนเเรกจนถึงตอนจบเลย ถือว่าสอบผ่านในเรื่องการทำเรื่องราวให้น่าติดตาม เเต่ปัญหาก็กลับอยู่ที่ช่องโหว่บางอย่าง ความสมเหตุสมผลเเละประเด็นน่ารำคาญเเละขัดใจที่มีค่อนข้างมาก เเต่ถ้าก้าวผ่านจุดนี้หรือไม่สนใจกับจุดนี้คุณจะสนุกไปเลย สิ่งที่ชอบเลยคือฉากดราม่าเเละฉากตลกที่ไม่ดูยัดเยียดเกินไป ตลกก็ตลกเลย ดราม่าก็ดี ส่วนประเด็นเสียดสีสังคมก็ใส่มาได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว เเทบจะไม่มีอะไรติสำหรับจุดนี้เลย ส่วนนักเเสดงที่หลายคนอาจจะเป็นห่วงเพราะว่าเป็นหน้าใหม่ซะส่วนใหญ่ บอกเลยว่าเอาอยู่ครับ จะมีบางคนที่เเสดงเเข็งๆไปบ้าง เเต่ถือว่าเป็นเเค่ส่วนน้อย ลงตัวเเละไม่ดูยัดเยียดเกินไป รวมเเล้ว นี่คือซีรีส์วัยรุ่นอีกเรื่องที่มีเรื่องราวเเละนักเเสดงหน้าใหม่ที่ร่วมมือเเละไปด้วยกันได้ลงตัวเลยทีเดียวครับ+:- นักเเสดงเเม้จะเป็นหน้าใหม่เกือบหมด เเต่เเสดงดีทุกคน อย่างตัวละครหลักของเรื่องทั้งนางเอกเเละเพื่อนนางเอกเข้ากับบทบาทที่ตนเองได้รับมาก- ฉากตลกเเละฉากดราม่าไปด้วยกันได้ลงตัว ในฉากตลกก็ฮาเเละบางมุกก็ฮามากๆด้วย เเต่พอถึงจุดที่จริงจังก็ไม่หลุดโทนเเละทำได้ดีตามมาตรฐาน- ดนตรีประกอบเเละป็อปคัลเจอร์ที่ใส่มาเข้ากันดี อย่างป็อปคัลเจอร์บางอย่างที่ถูกพูดถึงเข้าถึงได้ง่าย เเต่อาจจะดูเฉพาะกลุ่มไปบ้างในบางจุด- ใส่ประเด็นเสียดสีสังคมได้ค่อนข้างดี อย่างความเชื่อของเเต่ละเชื้อชาติที่เเตกต่างกัน เเละก็การเป็นวัยรุ่นในยุคปัจจบุันนั้นเป็นอย่างไร- บทน่าติดตามตั้งเเต่ต้นยันจบ ตั้งเเต่ตอนเเรกจนถึงตอนที่ 10 ดูเพลินมากๆ ไม่ค่อยมีจุดไหนที่รู้สึกน่าเบื่อเลย ดูไป 5 ชั่วโมงรวดได้เลยครับ -:- มีจุดขัดใจเเละน่ารำคาญหลายจุด อย่างตัวละครหลักของเรื่องที่พฤติกรรมบางอย่างอาจจะทำให้คนดูนั้นรำคาญบ้าง เเต่อยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้- ไม่ค่อยชอบเเละอินกับบทสรุปเท่าไหร่ สำหรับคนที่ชอบซีรีส์เเนวนี้ ก็อาจจะชอบก็ได้ เเต่ทว่าบางคนอาจจะไม่ค่อยอินกับตอนจบของเรื่องเท่าไหร่- ยังมีบางปมที่ถูกทิ้งค้างไว้เเละทำไม่ค่อยสุดเท่าไหร่ อย่างการที่บางจุดของซีรีส์ทิ้งไว้ให้ไปคิดต่อได้อีกเเละบางอย่างก็เหมือนจะรอเฉลยในภาคต่อ- มีช่องโหว่ที่ลืมปิด อย่างการที่ตัวละครหลักของเรื่องนั้นลืมที่จะทำอะไรไป หรือตัวละครอื่นที่พูดถึงตั้งเเต่ตอนเเรกๆ เเต่หายไปช่วงตอนหลังๆครับสำหรับใครที่รอคอยซีซั่นที่ 2 อยู่ ทาง Netflix ยังไม่มีการประกาศสร้างนะครับ อดใจรอกันนิดนึง ตอนนี้กระเเสจากนักวิจารณ์ออกมาค่อนข้างดีเลยทีเดียวครับเอาไป 7.5/10 (คะเเนนเฉลี่ย) เขียนโดย เเอดมินจากเพจหมาโรงหนัง หรือชื่ออังกฤษ Doggywatch ครับ เครดิตภาพ1. เครดิตภาพปกจาก Official Trailer บน Youtube2. เครดิตภาพที่ 1 จาก Official Trailer บน Youtube3. เครดิตภาพที่ 2 จาก Official Trailer บน Youtube4. เครดิตภาพที่ 3 จาก Official Trailer บน Youtube
Doggywatch (หมาโรงหนัง) • 8 พ.ค. 63
อ่าน
รีวิว Never Have I Ever ซีรีย์ใหม่จาก Netflix
ซีรีย์แนว comedy-dramaเรื่องใหม่จาก Netflix ที่พึ่งปล่อยออกมาเมื่อปลายเดือนเมษา 2020 นี้ เกี่ยวกับเดวี่ เด็กหญิงชาวอินเดียที่ครอบครัวย้ายมาอยู่ที่อเมริกา พ่อแม่ของเธอยังคงวัฒนธรรมดั้งเดิมอยู่แม้จะย้ายถิ่นฐานแล้ว ในทางกลับกัน เดวี่มีความเป็นชาวอเมริกันอย่างมากเมื่อเทียบกับครอบครัว เพราะเธอย้ายมาที่นี่ตั้งแต่เด็กและเข้าโรงเรียนเดียวกับเด็กอเมริกันคนอื่น เธอเป็นคนมีความคิดของตัวเองและไม่ชอบให้ถูกบงการว่าควรทำอะไร วันหนึ่งพ่อเธอหัวใจวายและเสียชีวิตกระทันหัน เธอเสียใจมากจนอยู่ดีๆ ขาของเธอก็ใช้การไม่ได้ ทำให้เดวี่ต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลา โชคดีที่เธอมีเพื่อนสนิทคอยช่วยเหลือ แม่และคนรอบตัวเธอก็หวังให้เดวี่กลับมาเดินได้ในซักวันหนึ่งและวันนั้นก็เป็นจริงแต่เธอไม่ได้กลับมาเดินได้เพราะหายเสียใจ แต่กลับเป็นเพราะผู้ชายในโรงเรียนที่ชื่อ Paxton วันนั้นเธอไปซื้อของกับแม่และเห็น Paxton อยู่กับเพื่อนๆของเขา และนั่นก็เพียงพอให้เดวี่มีแรงลุกขึ้นยืนและเดินได้อีกครั้งหนึ่ง เดวี่จึงตั้งเป้าหมายว่าปีต่อไปในโรงเรียนซึ่งเธอกำลังจะขึ้นชั้น Sophomore จะต้องดีเยี่ยม เดวี่มีแพลนให้เธอและเพื่อนสนิททั้งสองคนมีแฟนจะได้เป็นกลุ่มที่เจ๋งชื่อตอนในแต่ละตอนจะมีความหมายเล็กๆ บ่งบอกว่าเรื่องตอนนั้นจะมีเนื้อหาประมาณไหน ชื่อตอนจะเริ่มต้นด้วย “Never Have I Ever……” เรื่องนี้อาจจะดูเหมือนเป็นซีรีย์เกี่ยวกับโรงเรียนในอเมริกาทั่วๆ ไป แต่เนื้อเรื่องก็มีปมหลายเรื่องทั้งเรื่องความเศร้าของเดวี่ที่ต้องเสียพ่อไป บางครั้งที่เธอกับแม่ไม่ลงรอยกัน อีกทั้งยังมีญาติของเธอ กมลา ที่สวย หุ่นดี เรียกได้ว่า perfect ในสายตาเธอ และเดวี่ก็รู้สึกอิจฉาโดยที่ไม่รู้ว่ากมลาก็มีปัญหาของเธอเหมือนกัน ไม่เพียงแค่นั้น ในซีรีย์ยังมีเรื่องเพื่อนเข้ามาเกี่ยวข้อง และยังมีตัวละครที่เป็น LGBT อีกด้วย ในเรื่องเดวี่ยังมีคู่แข่งที่ไม่ถูกกันมานานอย่าง Ben ที่ทั้งสองพยายามจะเป็นที่ 1 และเอาชนะอีกคนอยู่เสมอ เรื่องราวของเดวี่ ครอบครัว และมิตรภาพของตัวละครแต่ละตัวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้บน Netflixตัวละคร Devi Vishwakuma รับบทโดย Maitreyi Ramakrishnan เด็กหญิงชาวอินเดีย-อเมริกาอายุ 15 ปีที่ต้องการให้ชีวิตในปีนี้ดีขึ้นซ้าย: Kamala รับบทโดย Richa Moorjani ญาติของ Devi ที่ดูเหมือนจะมีชีวิตที่ perfect ไปหมดทุกอย่างขวา: Dr. Nalini Vishwakumar รับบทโดย Poorna Jagannathan แม่ของ Devi เป็นหมอผิวหนัง นักเรียนในโรงเรียนหลายคนไปเข้ารับการรักษากับเธอซ้าย: Fabiola Torres รับบทโดย Lee Rodriguez ขวา: Eleanor Wong รับบทโดย Ramona Youngเพื่อนสนิทของ Devi ทั้งสองคน Paxton Hall-Yoshida รับบทโดย Darren Barnet ลูกครึ่งญี่ปุ่นอายุ 16 ปี เป็นนักกีฬาว่ายน้ำของโรงเรียน จริงๆอยู่ชั้น junior แต่มีวิชาที่สอบตกทำให้มาเรียน class เดียวกันกับ DeviBen Gross รับบทโดย Jaren Lewison เพื่อนร่วมชั้นและคู่แข่งของ Devi Review: สำหรับเราเรื่องนี้สนุกมาก ตัวละครทุกตัวมีเรื่องราวของตัวเองทำให้แต่ละตอนน่าติดตาม มีบางตอนที่เดวี่กับเพื่อนหรือครอบครัวมีปัญหาก็น่าติดตามว่าจะปรับความเข้าใจกันได้ยังไง นักแสดงแต่ละคนแสดงบทบาทของตัวเองออกมาได้ดีมากๆ สามารถสื่อสารกับคนดูผ่านตัวละครนั้นๆ เรารู้สึกว่าทุกๆคนในเรื่องมีความสำคัญเท่ากันหมดเลย ทุกตัวละครสามารถเดินเรื่องได้ดี ถึงแม้ว่าเรื่องราวหลักจะเป็นเรื่องของเดวี่ แต่ตัวละครอื่นก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินเรื่องในแต่ละตอน และหลายๆครั้งก็รู้สึกว่าพวกเค้าก็ต้องพึ่งพากันเพื่อผ่านปัญหาไปให้ได้ เนื้อหาทั้งเรื่องแยกย่อยออกมาแต่ละตอนทำให้ไม่น่าเบื่อแล้วยังน่าติดตามอีกด้วย พอดูจบแล้วก็โยงชื่อตอนเข้ากับเนื้อเรื่องได้ เป็นเรื่องที่ถือว่าดูง่าย ไม่หนักสมองจนเกินไป มีบางช่วงเหมือนกันค่ะที่รู้สึกว่าเดวี่ทำตัวไม่ดีเลย เธอสนใจตัวเองก่อนและลืมคิดถึงเพื่อนที่อยู่เคียงข้างเธอมาตลอด ในช่วงที่เพื่อนสนิทของเธอทั้งสองคนมีปัญหา เธอไม่ได้รับฟังและคิดว่าตัวเองมีปัญหาที่ใหญ่กว่าใครทั้งหมด นอกจากนั้นเดวี่กลับไปสนใจสิ่งที่ Paxton ไปขอให้เธอช่วยมากกว่า เธอยังผิดคำพูดกับเพื่อนอีกด้วย แต่สุดท้ายแล้วก็ทำความเข้าใจกันได้ แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพของเธอและเพื่อนๆ แล้วยังมี Ben ที่ตอนแรกเป็นศัตรูกันแต่ก็มีเรื่องที่ทำให้สองคนนี้ต้องมาคุยกันดีๆในเรื่องยังมีการสอดแทรกวัฒนธรรมเข้ามาด้วย อย่างเรื่องครอบครัวของเดวี่ และเทศกาลที่ต้องไปเข้าร่วม แต่ก็ทำออกมาให้เนื้อเรื่องดูเข้าใจง่ายเลยค่ะ นอกจากนี้แต่ละตัวละครยังมีปมปัญหาส่วนตัวของตัวเอง ทำให้เรารู้ว่าทุกคนก็มีเรื่องให้ต้องเผชิญและแก้ไขปัญหาในแบบของตัวเอง อย่าคิดว่าปัญหาของเรายิ่งใหญ่ที่สุดเหมือนที่เดวี่ตะโกนใส่เพื่อนเพราะคิดว่าปัญหาของตัวเองนั้นยิ่งใหญ่ละก็สำคัญสุดๆ และคิดว่าคนอื่นไม่ได้มีปัญหาอะไร เพื่อนของเดวี่ที่ชื่อ Fabiola เธอค้นพบตัวเองทีหลังว่าชอบผู้หญิงและใช้เวลาอยู่ซักพักกว่าจะบอกกับคนอื่นๆ ได้ ในจุดนี้ยอมรับว่าซีรีย์ทำออกมาได้ดีเลยค่ะ แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความมั่นใจที่จะ come out ตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้ตัว ไหนจะต้องกลัวว่าพ่อแม่ และคนรอบตัวจะไม่ยอมรับ แต่ตัวละครในเรื่องนี้มี character ที่ดีมากๆ ทุกคนพร้อมสนับสนุนกันและกัน อาจจะมีบางช่วงที่มีเรื่องกันบ้าง แต่สุดท้ายก็กลับมาช่วยเหลือและอยู่เคียงข้างกัน ก็ถือว่าแสดงให้เห็นว่าชีวิตบางทีก็เป็นแบบนั้น เราอาจจะมีเรื่องกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว แต่สุดท้ายแล้วคนพวกนี้ก็ยังพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างกันเสมอ ตอนแรกดูเรื่องนี้เพราะเห็น Netflix แนะนำขึ้นมาเฉยๆ ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่หลังจากเปิดดูตอนแรกแล้ว ก็ดูจบภายในวันเดียวกันเลยค่ะ เรียกได้ว่าไม่ได้หยุดดูเลย ด้วยความที่ตอนนึงไม่ยาวมากยิ่งทำให้รู้สึกว่าดูจบเร็วขึ้นไปอีก มีแค่ 10 ตอน ตอนละ 30 นาทีเท่านั้นค่ะ ถ้าหากใครว่างๆ ไม่รู้จะดูอะไรดี ลองดูเรื่องนี้เลยค่ะ ดีมากๆ มีเรื่องราวหลากหลาย แต่ละตัวละครมี character ที่ต่างกัน ไม่ยากเลยที่จะตกหลุมรักในตัวละครนั้น หลังจากดูจบแล้วต้องได้ตั้งตารอ season 2 แน่นอนค่ะCredit: Netflix, (1)
Pinky • 8 มิ.ย. 63
อ่าน
รีวิว Never Have I Ever (ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย) ใน Netflix (No Spoil!)
สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ทุกท่าน เนื่องจากอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นเป็นวันหยุดยาว ทางเราก็ได้มีโอกาสได้ดูซีรีย์เรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องใหม่ของทาง Netflix นั้นคือ 'Never Have I Ever (ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย)' แค่ชื่อเรื่องก็น่าดูแล้วใช่มั้ยหล่ะค่ะ ถึงกับทำให้เราดูจบรวดเดียวภายในวันเดียวเลยหล่ะ วันนี้เลยถือโอกาสจะมารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกันแบบสั้น ๆ กัน สำหรับใครที่กำลังสนใจซีรีย์เรื่องนี้หรือกำลังหาซีรีย์จากทาง Netflix ดูกัน ไปดูกันเลยว่าจะเป็นเรื่องราวอะไร ลุย😆เรื่องย่อ เป็นเรื่องราวของสาวน้อยวัยรุ่นที่ชื่อว่า 'เดวี่ วิศวกุมาร' เธอเป็นหญิงสาววัย 15 ปีเชื้อสายอินเดียโดยกำเนิด แต่เกิดและเติบโตในอเมริกา ซึ่งวันหนึ่งชีวิตของเธอก็พลิกผลันหลังจากที่เธอได้แสดงโชว์ดนตรีอยู่ พ่อของเธอก็ได้เสียชีวิตระหว่างที่เธอแสดง หนำซ้ำเธอยังล้มและทำให้เธอเดินไม่ได้ ทำให้ต้องนั่งวีลแชร์มากว่าหนึ่งปีเต็ม ๆ แต่แล้วก็มีปฏิหารเกิดขึ้นกับเธอ เพราะเธออยากจะเห็นหน้าผู้ชายคนหนึ่ง แค่นั้นเลยค่ะเธอก็กลับมายืนได้เลย ฮ่า ๆ ทำให้เธอกลับมาเดินได้อีกครั้ง! วันแรกหลังจากขึ้นม.4 เธอกับเพื่อนซี้อีกสองคนคืออีลีเนอร์ หว่อง และ ฟาร์บิโอล่า ได้ตัดสินใจร่วมกันว่าพวกเขาทั้งสามจะต้องมีแฟนให้ได้ แต่แล้วเธอกลับพบว่าอีลีเนอร์นั้นมีแฟนอยู่แล้วในชมรมการแสดงและต่อมาฟาร์บิโอล่าก็ค้นพบว่าเธอนั้นไม่ได้ชอบผู้ชายและเป็น LGBT หรือการรักข้ามเพศ และจริง ๆ แล้วเดวี่ก็มีคนแอบชอบในโรงเรียนอยู่คนหนึ่งซึ่งก็คือหนุ่มฮอตนีกกีฬาประจำโรงเรียนอย่าง 'แพ็กตั้น' และในปีนั้นเขาก็ดันซ้ำชั้นจะต้องเรียนพอดิบพอดี ทำให้เดวี่ได้เจอกับเขาบ่อย ๆ ซึ่งในวันหนึ่งเธอรวบรวมความกล้าขอตกลงให้เขานั้นมี sex กับเธอ! แต่มันเหนือความคาดหมายเขากลับตอบตกลงเธออีกด้วย และในคลาสเรียนเดวี่ได้มีคู่ปรับอย่าง 'เบน' เพื่อนชายที่มักจะชอบแข่งขันกันเรื่องการเรียนอยู่เสมอ ตั้งแต่เด็ก ๆ เลย ทำให้ทั้งสองค่อนข้างเกลียดขี้หน้ากัน แต่แล้วทำให้มีหลาย ๆ เหตุการณ์ที่ทำให้ความรู้สึกของทั้งสองเกิดความพลิกจากเกลียดเป็นความรู้สึกดี ๆ กันเฉยเลย! สุดท้ายเรื่องก็ได้ทิ้งปมทำให้เราขบคิดกันไป จนกว่าจะเจอกันใหม่ Season 2เรื่อง Never Have I Ever (ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย) มีทั้งหมด 1 Season 10 episodes แต่ละตอนมีประมาณ 30 นาทีความประทับใจและเรื่องนี้ให้อะไรกับเราบ้าง? เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนอาจจะเห็นหน้าปกแล้วรู้สึกว่าเรื่องนี้คงไม่สนใจและคงไม่พ้นในเรื่องแนวความรัก teenager ใส ๆ ซึ่งขอบอกว่าเรื่องนี้ให้อะไรกับเรามากกว่าที่คิดมากค่ะ เป็นเรื่องแนว Comedy ตลกแบบเบาสมอง และ Drama หน่อย ๆ เป็น Plot เรื่องที่ไม่ได้มีความหวือหวาอะไรสามารถเดาได้ แต่ดูแล้วมีความน่ารีก รู้สึกหัวใจฟู และเรื่องนี้ยังมีวัฒนธรรม วิถีชีวิต ของอินเดียสอดแทรกเข้ามาให้เราเห็นเรื่อย ๆ อาทิเช่น การทานอาหารที่แตกต่างกัน การคลุมถุงชน การเข้าพิธีบูชาพระพิฆเนศโดยผ่านตัวละคร เป็นต้น ซึ่งเรื่องนี้ก็มีเรื่องของ'ครอบครัว'เข้ามาเกี่ยว เพราะด้วยความที่เดวี่มีหัวแบบคนสมัยใหม่ แต่แม่ของเดวี่ยังชอบยึดติดกับอะไรเดิม ๆ ตามขนบธรรมเนียม ยังเป็นหัวคิดแบบคนสมัยเก่า ทำให้ทั้งสองนั้นชอบทะเลาะกันอยู่เสมอ และมีการทะเลาะกันแบบรุนแรงอีกด้วย และทั้งสองยังต้องแบกรับความรู้สึกของการสูญเสียหัวหน้าครอบครัว พ่อ สามีอีกด้วย ขอบอกว่าเรายังแอบน้ำตาซึมอยูาหน่อย ๆ เลยหล่ะค่ะ และเรื่องราวไฮสคูลแบบนี้ก็ไม่พ้นเรื่องของ 'ความสัมพันธ์และเพื่อน' สื่อถึงเรื่องความสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ และในเรื่องยังมีการเล่นเรื่อง LGBT หรือการรักข้ามเพศของฟาร์บิโอล่า การเปิดเผยตัวตนของเธอให้คนรอบข้างและครอบครัวของเธอรู้ เพราะในสังคมเรื่องรักข้ามเพศก็ยังเป็นอะไรที่ค่อนข้างพูดยากอยู่ (ต้องมาตามลุ้นกันว่าฟาร์บิโอล่าเธอจะจัดการได้อย่างไร) และเรื่องของความสัมพันธ์ของเพื่อนที่อาจจะมีการนอยด์น้อยใจเกิดขึ้น ที่สำคัญเรื่องนี้จะมีเสียงการเสียงพากย์ของ 'จอห์น แม็คเอนโร' ซึ่งหากใครเล่นเทนนิสคงรู้จักเขาเป็นอย่างดี เพราะว่าเขาเป็นนักเทนนิสชายชาวอเมริกัน อดีตมือวางอันดับหนึ่งของโลก จัดอันดับโดยเอทีพีติดต่อกัน 4 ปี ซึ่งเขามักจะมีหัวร้อนและทะเลาะกับคู่แข่งและคณะกรรมการอยู่เสมอ โดยเขามีนิสัยที่ค่อนข้างคล้ายกับเดวี่ในเรื่องมาก ๆ ทำให้จับมาพากย์เป็นเสียงในใจของเดวี่ซะเลยตัวละครที่โดดเด่นของเรื่องนี้ ตัวเอกของเรื่อง เป็นเด็กสาวชาวอินเดียวัย 15 ปีที่มีความฉลาดมาก ๆ ในเรื่องการเรียน แต่นิสัยจะออกแนวโก๊ะ ๆ เปิ่น ๆ หน่อย แต่ยังจัดว่าอยู่ในกลุ่มเนิร์ดของโรงเรียน เป็นคนที่เรียกว่า 'หัวสมัยใหม่' เลยก็ว่าได้ ทำให้เธอมักจะทะเลาะกับแม่อยู่เป็นประจำ แถมยังเป็นคนที่เรียกว่ากล้ามาก ๆ กล้าเผชิญกับทุกอย่าง พูดอะไรตรงไปตรงมา หนุ่มนักกีฬาประจำโรงเรียน ดีกรีหนุ่มฮอตเลยก็ว่าได้ เป็นรักแรกพบของเดวี่เลยก็ว่า ซึ่งในหลาย ๆ ครั้งเราก็อาจความคิดของเขาไม่ออกเหมือนกันนะ ฮ่า ๆ แบบเป็นคนที่น่าสนใจมาก ๆ ทำให้เรารู้สึกว่าเขาคิดอะไรอยู่ตลอด และในคราวเดียวกันก็เป็นคนอ่อนโยนชอบช่วยเหลือคนอื่น ใน season นี้เราคิดว่ายังไม่ค่อยเห็นมุมมองของหนุ่มหล่อแพ็กตั้นสักเท่าไหร่ แต่ Season ต่อไปคิดว่าต้องมีอย่างแน่นอน และขอบอกว่าเป็นหนุ่มหล่อที่ชวนมองจริง ๆ ค่ะ🥰 ผู้เป็นไม้เบื่อไม้เมาของสาวน้อยเดวี่ ทั้งสองเติบโตและเรียนมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก มีความสูสีในเรื่องของการเรียนอยู่ตลอด มักจะชอบเถียงทะเลาะกัน แต่แม้ว่าเบนจะเป็นเด็กฉลาด ชอบเถียง รวย แต่จริง ๆ แล้วในมุมของเขาก็ยังเป็นคนที่อ่อนไหว sensitive มาก ๆ ในเรื่องของครอบครัว เพราะเขามักจะโดนพ่อแม่ทิ้งให้อยู่บ้านกับแม่บ้านตลอดเวลา เป็นอีกตัวละครที่รู้สึกสงสาร อินสุด ๆ อีกตัวหนึ่งเลยค่ะก็จบกันไปแล้วนะคะสำหรับ 'รีวิว Never Have I Ever (ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย) ใน Netflix (No Spoil!)' ซึ่งเป็นซีรีย์สั้น ๆ ที่น่ารัก อบอุ่นหัวใจค่ะ แถมความพิเศษคือนำเอาตัวละครที่เป็นคนผิวสีคนอินเดียมาเพิ่มความสนุกให้กับเนื้อเรื่องอีกด้วย เป็นอีกเรื่องที่เราอยากแนะนำให้เพื่อนดูเลยหล่ะค่ะ เพื่อน ๆ สามารถรับชม Never Have I Ever ได้ที่ Netflix ซึ่งในปัจจุบันสามารถรับชม Netflix ผ่านทางกล่อง True ID TV ได้แล้ววันนี้ สำหรับวันนี้เราก็ขอตัวลาไปก่อนนะคะ พบกันใหม่บทความหน้าค่ะ 🙂เครดิตภาพหน้าปก :Never Have I Ever (2020– )เครดิตภาพประกอบบทความ :ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย (Never Have I Ever) | ตัวอย่างซีรีส์อย่างเป็นทางการ | Netflix
nowadays girl☀︎︎ • 18 พ.ค. 63
อ่าน
รีวิวหนังใหม่ Never let go ผูกเป็น หลุดตาย
Never let go (ผูกเป็น หลุดตาย) จากผู้เขียนบทชื่อดั่ง : เคซี คัฟลิน และกำกับโดย : มักซีม อเล็กซองดร์ นักแสดงนำหลัก : จูน / ฮัลลี่ เบอร์รี่, นักแสดงเด็ก ซามูเอล / แอนโธนี่ บี. เจนกินส์ ,โนแลน / เพอซี แดกกส์ ที่4 หนังแนว : ระทึกขวัญ / สยองขวัญ ระยะเวลาในการชม 101 นาที เทคนิคการถ่ายทำของผู้กำกับหนังเรื่องนี้ คือการใช้กล้อง 65. มม ในการถ่ายทำเรื่องนี้ ซึ่งทำให้ภาพที่ได้ เป็นฉากกลางคืนที่สยองเกล้า ในตอนกลางวัน ได้อย่างน่าขนลุกขนพอง นับว่าเป็นการใช้เทคนิคที่น่าทึ่ง บวกกับการเลือกสถานที่ถ่ายทำ ในป่าสนใกล้รัฐแวนคูเวอร์ และบ้านที่ไม่คิดว่าจะมีใครไปอยู่ได้ กลางป่ากลางดง ขนาดนั้น ทางตอนใต้แถวๆ เทนนิสซี่ ที่ดูน่าหดหู่ และน่ากลัวจนไม่คิดว่าจะมีใครจะกล้าไปอยู่ในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมแย่ขนาดนี้ ทำให้ได้อารมณ์ที่สมจริงส่งต่อความรู้สึกของตัวละครที่ได้ถ่ายทอดออกมา เริ่มเรื่องมา....บรรยากาศก็วังเวง ผสานกับเสียงหริ่งเรไร ร้องระงมรอบบ้าน พร้อมเสียงกบที่กำลังเรียกร้องหาคู่ ในคืนอันมืดมิด (ซึ่งทั้งโรงมีผมนั่งดูอยู่คนเดียว😅) (จูน) แม่ลูกสอง ที่ชีวิตตกอยู่ในกรอบขนบธรรมเนียม ที่แสนล้าหลัง และ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัว เมื่อครั้งในอดีต ที่ได้หนีหายไป กลับหวนคืนสู่บ้านเกิดอีกครั้ง พร้อมกับความเชื่อที่ถูกฝังหัว ลึงลงไปในจิตใจ จนแยกไม่ออกแล้ว ว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนคือเรื่องปลอม บางสิ่งบางอย่างเมื่อครั้งเยาว์วัย ก่อให้เกิดแผลเป็นในใจ เหมือนเมื่อครั้งอดีต ที่ถูกฝังหัว ว่าต้องเชื่อมั่นในคำสอน เชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ ของการท่องคำอธิฐาน ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ภายในบ้านหลังนี้ ที่จะคอยปกปักรักษา ไม่ให้เพศภัยภยันตราย เข้าใกล้และเข้ามาทำร้ายครอบครัวของเธอได้ และมันคือความรับผิดชอบ อันหนักอึ้งของผู้เป็นแม่ ที่ต้องคอยมอบความรัก ความเอาใจใส่ รวมทั้งศรัทธาของเธอ ที่มีต่อลูกทั้งสองคน นั้นก็คือ ซามูเอล และ โนแลน กับเนื้อเรื่องที่เขาต้องการจะสื่อให้เรารู้ว่า สิ่งหนึ่งที่คอยผูกพันเรา เมื่อครั้งยังเป็นทารก ที่เราทุกคนเคยพันผูก ก่อนคลอดออกมาดูโลก ที่จูนเองก็เชื่อว่า โลกภายนอกนั้น ที่เธอไปประสพพบเจอมามันเลวร้ายขนาดไหน เปรียบเหมือน เชือก ที่ต้องผูกรอบเอว ของเขาทั้งสามคน (มันมีความหมายลึกซึ้งจริงๆ ที่ทำให้ผมมองดูแล้วรู้เลยว่า เขาต้องการจะหมายถึงอะไร ซึ่งมันแว้บเข้ามาในหัวผมทันที) ในขณะเดียวกันมันยังให้ความรู้สึกถึงความดึงดันคัดค้าน กับความเป็นจริง ที่มีต่อศรัทธาที่นับถืออยู่ ว่ามันใช่ รึ ไม่ หรือเป็นเพียงความงมงาย ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของจูน บวกกับความรักความหวง กลัวลูกจะเป็นอันตราย จนไม่อยากให้เขาโตมากไปกว่านี้ ซึ่งในความเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้ เด็กทุกคนต้องโตเป็นผู้ใหญ่ เหมือนอย่าง โนแลน ในเรื่องนี้ ที่เริ่มเคลือบแคลง และสงสัย ในบทสวดบริกรรมคาถาประจำบ้าน หลังนี้ ว่าจะปกป้องเขาจะภยันตรายภูมิผีปีศาจ ได้จริงๆเหรอ "(1) เชือกคือร่มชูชีพ" ความอดทนที่มีต่อ สถานการณ์อันเลวร้าย ที่มีต่อครอบครัวของเธอ ไม่ได้มีแค่เพียง ภยันตรายที่อยู่ข้างนอกนั่น สภาพภูมิอากาศก็เช่นกัน มันไม่ปราณีปราศัย เลยแม้แต่น้อย ที่จะทำให้ท้องของเขาทั้งสามคน ได้อิ่มท้องเพียงพอกับพลังงานที่ต้องใช้ในช่วงฤดูหนาว ทุกสิ่งทุกอย่างที่จูนเตรียมไว้ ไม่ว่าจะเป็นผักดองไว้เป็นโหลๆตั้งเรียงรายเอาไว้ นับวันมันเริ่มจะหร่อยหรอลง ตัวจูนเองก็หิว แต่ก็ต้องอดทน เพียงแค่ขอให้ลูกๆของเธอได้อิ่มท้อง เธอยอมอดได้ ทนได้ จนในที่สุดแม้ว่าเธอจะยังมีสติอยู่ และถูกยั่วยุจากผีร้ายที่กลายร่างมาเป็นคนในครอบครัวของเธอ ปรากฎลงต่อหน้า คอยยุแยงตะแคงรั่ว แต่เธอก็ไม่ไยดีต่อคำพูดพวกนั้น และเธอและลูกของเธอยังปลอดภัย ตราบใดที่ยังอยู่ในเขตภายในบ้าน พวกมันจะทำอะไรเธอไม่ได้ สิ่งหนึ่งในเรื่องนี้ที่เขาคอยเปรียบเทียบ กับความชั่วร้ายที่อยู่ในจิตใจของมนุษย์ ก็คือ งู เพราะมันคดเคี้ยวเลี้ยวลด ไม่มีความแน่นอน ผันแปรเปลี่ยนไปตามความคิดชั่ววูบของอารมณ์ ที่เข้ามาโจมตี ในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ กับสถานการณ์ ที่กำลังย่ำแย่อยู่ในตอนนี้ของจูน "(2)จะหาอาหารให้ลูกกินเพียงพอได้ยังไง" ในขณะที่ โนแลนเอง เด็กน้อยในตอนนี้ที่กำลังเติบโต เป็นเด็กขี้สงสัย และ เริ่มเคลือบแคลงระแวง ต่อศรัทธาที่มีต่อแม่ของเขา ที่ถูกให้ท่องทุุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน ไปหาอาหาร ซึ่งผิดกับ ซามูเอล ที่เปรียบเสมือนลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น คอยเชื่อคำพูดทุกคำที่แม่บอก ทั้งคู่มีความต่างเห็นกันอย่างชัดเจน และนั้นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้น รึ ฉากสุดท้ายที่จะได้เห็น ปีศาจในใจตน ของเด็กน้อยที่มันตื่นขึ้นมาพร้อมกับข้อเรียกร้องที่เขาไม่มีวันเข้าใจว่าจริงๆแล้วเขาต่างหากที่เข้าใจถูกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงความคิดของแม่เขาฝ่ายเดียวและเขาเชื่อว่าตัวเขาไม่ได้อยู่โลกนี้คนเดียว บทพิสูจน์อันนี้ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียที่ไม่คาดคิด....... หากคนเป็นแม่ไม่อยู่แล้ว พวกเขาสองพี่น้องจะอยู่อย่างไร จะกลายเป็นแบบไหน จะเหมือนแม่ของเขาไหม และจะตกหลุมพรางของปีศาจซาตาน รึเปล่า ในบริบทสุดท้าย "(3)พวกเขาจะกลายเป็นคนยังไง" และสิ่งหนึ่งที่ทำให้การดูหนังเรื่องนี้ของผมได้ อรรถรสสุดๆเลย คือ การได้ดูหนังคนเดียวทั้งโรง โดยที่ไม่มีใครเลย ผมบอกได้เลยว่ามันได้อารมณ์สุดๆ ได้ลุ้นระทึกเต็มๆไปกับเนื้อเรื่อง ที่เราตั้งใจดูแบบไม่ต้องไปคาดเดาว่าอะไรจะโผล่ออกมา ขอแค่ให้ได้ซีบซับสัมผัสกับรสชาติของหนังเรื่องนี้เต็มๆ เท่านั้นพอ และแน่นอนหากว่าใครกำลังมองหาหนังระทึกใจและอยากจะซึมซับความตื่นเต้น แบบเดียวกับผมแนะนำให้ดูรอบสุดท้าย แล้วคุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศสยองขวัญในโรงภาพยนตร์ จริงๆครับ ปล. อยากจะขอชม เจ้าหน้าที่ ซีเคียวริตี้ ห้างบลูพอตหัวหิน รวมทั้ง เจ้าหน้าที่โรงหนังเมเจอร์บลูพอตหัวหิน บริการดีมากๆ ประทับใจมากครับ คอยช่วยเหลือในช่วงเวลาที่ยากลำบากในช่วงนี้ของผม ขอบคุณครับ ภาพประกอบบทความ จาก Facebook Never let go :(1) (2) (3) (4) ภาพประกอบหน้าปกจาก Facebook Never let go : (1) จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !
พันอักษร • 4 ต.ค. 67
อ่าน
รีวิว "Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย" 10 นาทีแรก น่าดูหรือน่าเบื่อ?
กรี๊ดกร๊าดกันจัง! เขาว่าพระเอกฮ๊อตมาก "Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย" ซีรีย์ฝรั่งเรื่องใหม่ที่พึ่งลง Netflix เพื่อนแนะนำมาว่าดีมาก ดูกันหมดแล้ว เหลือเราคนเดียวตกเทรนด์ ไม่รอช้าไปรีวิวกันเลยดีกว่า!เริ่มเรื่อง 10 นาทีแรกเดวี่ วิศวกุมาร เด็กสาวอินเดียนอเมริกันกำลังสวดภาวนากับเทพเจ้าของเธอ ขอให้เธอได้พบกับแฟนหนุ่มหล่อ ๆ สักที หลังจากผ่านปีอันย่ำแย่มา ตัดภาพไปเล่าอดีตตอนที่ครอบครัวเธอย้ายมาอเมริกาใหม่ ๆ เจอกับปัญหาเพราะพวกเขาเป็นชาวสีผิวน้ำตาล และวันหนึ่งพ่อของ เดวี่ ก็หัวใจวายกระทันหัน ส่วนเธอเองก็ประสบปัญหาระหว่างว่ายน้ำ ทำให้เดินไม่ได้ จนกระทั่งเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น เมื่อเธออยากลุกขึ้นจากรถเข็นเพื่อแอบมองหนุ่มที่เธอปิ๊ง เธอจึงกลับมาเดินได้ และแล้ววันนี้ก็เป็นวันแรกของการเรียนม.4 เธอจะปฏิวัติชีวิตตัวเองใหม่ เริ่มจากเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวของเธอและเพื่อน ๆ ต้องหาแฟนสุดฮ๊อตสักคน แต่แค่เริ่มต้น เธอก็พลาดไปจีบหนุ่มเจ้าสำอางค์ ที่เพื่อนบอกว่าเขาเป็นเกย์ซะแล้ว อยากรู้ว่าเป็นยังไงต้องติดตามรับชมต่อความประทับใจแรก• เลือดกำเดาพุ่งเลย! ใช้ความคับจอของ...พระเอกมาสะกดจิตกันชัด ๆ แน่นทั้งแผงอก กล้ามหน้าท้อง กล้ามแขน และแววตาหวานเยิ้ม เขาเป็นนักแสดงที่เอาอยู่จริง ๆ เป็นทั้งไทป์ของฝรั่งและเอเชีย ออกอินเดียนิด ๆ ถ้าจะต้องแนะนำหนังสักเรื่องที่พระเอกหล่อ ก็คงบอกให้ไปดูเรื่องนี้เลย• ดำเนินเรื่องไวดี ไม่เสียเวลา แค่ 5 นาทีแรก ก็ลากเราไปผูกกับชีวิตตัวเอกได้ เล่าความเป็นมาชีวิตของ เดวี่ เธอน่าเห็นใจมาก และเหมือนกับชีวิตพวกเราทุกคน มีเรื่องดราม่าปัญหาครอบครัว เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ที่ใันใจก็ฝันอยากมีแฟนหล่อ ๆ กับเขาบ้าง ดูแล้วก็ลุ้นเอาใจช่วยไปกับเธอ ทั้งตลก คลายเครียด และทำให้หัวใจพองโต!• ชอบฉากและบรรยากาศ คิดถึงไฮสคูลและรักแรกแย้ม! ทำให้เหมือนย้อนวัยกลับไปเรียนอีกครั้งเลย (ถึงแม้จะเป็นมัธยมปลายมาก็เถอะ) เป็นภาพแบบที่คนไทยอย่างเราหลายคน คงเฝ้าฝันอยากจะลองใช้ชีวิตแบบนั้นสักครั้ง แต่งตัวอะไรก็ได้ไปโรงเรียน เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องมีกฏเกณฑ์ และได้แอบเฝ้ามองหนุ่ม ๆ ที่เราแอบปิ๊ง ไม่ต้องคิดมาก ทำงานปวดหัว วัยเรียนสนุกสุดแล้วจริง ๆประเด็นที่น่าจับตา• ตัวละครในเรื่องสะท้อนชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวชาติพันธุ์ในอเมริกา นอกจาก เดวี่ วิศวกุมาร ที่เป็นภาพแทนชาวอินเดียนอเมริกันแล้ว (ผิวน้ำตาล ผมดำ) เพื่อน ๆ ของเธอก็ยังเป็นภาพแทนคนชาติต่าง ๆ ด้วย เช่น ฟาบิโอรา ทอร์เรส - เชื้อชาติแอฟริกัน (ผมหยิก ผิวสี), เอเลนอร์ หว่อง - เชื้อชาติจีนอเมริกัน (ผิวเหลือง ตาตี่) หรือแม้แต่พระเอกอย่าง แพกซ์ตัน ฮอลล์ โยชิดะ เขาเองก็มีเชื้อสายมาจากญี่ปุ่นอย่างแน่นอน แสดงให้เห็นถึงคนในสังคมอเมริกา ปะปนด้วยเชื้อชาติต่าง ๆ นอกจากฝรั่งผิวขาว หนังจะแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม ความเชื่อ และการดำรงชีวิตอยู่ของพวกเขา• ชาวชาติพันธุ์ที่อาศัยในประเทศเจ้าอาณานิคม (อเมริกา) ล้วนถูกหล่อหลอมวัฒนธรรมโดยที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ในกรณีที่ถูกหล่อหลอมแบบรู้ตัว เช่น พ่อแม่ของ เดวี่ เลือกต่อต้านจะกินแต่อาหารมังสวิรัติ แต่ เดวี่ เลือกที่จะกินเนื้อสเต๊กตามแบบชาวอเมริกัน เธอรู้ตัวว่ากำลังถูกวัฒนธรรมหล่อหลอมแต่เธอเลือกที่จะยอมรับ ส่วนกรณีที่ไม่รู้ตัว อย่างเช่น การที่ เดวี่ พูดคุย ภาวนากับเทพเจ้าฮินดูเหมือนคุยกับเพื่อน ก็เหมือนกับวัฒนธรรมของฝรั่ง ที่เขาพูดคุยกับพระเจ้าของเขาเหมือนคุยกับพ่อ เดวี่ถูกเปลี่ยนวิธีคิดการปฏิบัติโดยไม่รู้ตัว สรุปคือ การที่คนเราใช้ชีวิตอต่างแดนเป็นเวลานาน เราจะถูกหล่อหลอมวัฒนธรรม ความเชื่อ และค่อย ๆ เปลี่ยนไป โดยที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว• การล้อเลียน เหยียดหยาม และแบ่งแยกเชื้อชาติ (Racism) ยังมีอยู่ให้เห็นอยู่ ถึงแม้จะผ่านไปนานแค่ไหน เพราะมันเป็นคุณลักษณะร่วมของมนุษย์ที่มีเหมือนกัน มนุษย์เราจะแบ่งแยกและเข้าหากลุ่มคนที่เหมือนเราเพื่อต้องการการยอมรับ และต่อต้านคนที่ดูแตกต่าง จึงเกิดเป็นการเหยียดเชื้อชาติขึ้น ในหนังเรื่องนี้ก็มีอยู่ เกิดขึ้นแม้แต่กับนางเอกเอง ทั้ง ๆ ที่ เดวี่ วิศวกุล เธอก็ไม่ใช่ชาวอเมริกันแท้ แต่เธอเองก็ยังดูถูกภาษาอังกฤษ ของญาติตัวเองที่มาจากอินเดีย ที่พูดคำว่า "เปิดทีวี" ผิด แต่กระนั้น เดวี่ ก็ถูกเหยียดหยามและล้อเลียนโดยเพื่อนฝรั่งที่โรงเรียนเช่นกันปมที่น่าติดตาม• คำอธิษฐานของ เดวี่ ขอแฟนหล่อ ๆ สักคน จะเป็นจริงไหม? คิดว่าเป็นจริงนะ แต่จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ทั้งสองจะตกหลุมรักกันอย่างไร น่าตามลุ้นจริง ๆ จิกหมอนรอแปปนึงนะ• ทำไมต้องเอานักเทนนิสมาบรรยายเรื่องราวของ เดวี่ ต้องมีความสำคัญบางอย่างแน่นอน นอกจากเป็นเสียงพากษ์ที่ตลกแล้ว ก็น่าจะมีนัยแอบแฝงบางอย่าง แต่หนังยังไม่เฉลยตอนต้นแน่ ๆ หนังบอกให้ดูต่อไปเรื่อย ๆ แล้วจะพบคำตอบ• หนังเรื่องนี้จะมีบทสรุปแง่มุมความรักแบบไหน เด็กเนิร์ดกับนักกีฬาหนุ่มสุดฮ๊อตจะสมหวังยังไง ต้องติดตามชม เพราะเดาทางผู้แต่งไม่ออกจริง ๆ บทสรุปและข้อคิดที่ได้มักจะปรากฏในท้ายเรื่อง ดังนั้นต้องติดตามชมกันต่อไปหลังจากดู 10 นาที การันตีเลย "Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย" เป็นซีรีย์เรื่องเดียวที่อยากดูให้จบ ณ ตอนนี้ น่าดูต่อมาก ๆ ด้วยโครงเรื่องที่สนุก คลายเครียด ย้อนให้คิดถึงวัยเรียนและการแอบรักหนุ่มหล่อข้างห้อง อีกทั้งยังสร้างกำลังใจให้เราหันมาเปลี่ยนตัวเอง เพื่อรับสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตอีกด้วย คลิกไปดูได้เลยที่ netflix ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมการเหยียดสีผิวจาก :https://www.posttoday.com/sports/183529ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องธรรมชาติมนุษย์จาก : https://www.siamturakij.comขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Racism จาก : https://itstopswithme.humanrights.gov.au/about-racismขอบคุณภาพประกอบบทความจาก : netflix.com ผู้เขียนบทความบันทึกภาพจากตัวอย่างหนัง Official ของ Netflixขอบคุณภาพหน้าปกจาก : netflix.com ผู้เขียนบทความดัดแปลงจากภาพในตัวอย่างหนัง Official ของ Netflix
TubThong • 27 พ.ค. 63
อ่าน
Let’s go to the south side @Trang,Thailand
การเดินทางไกลเริ่มขึ้นอีกครั้ง และในครั้งนี้เราเดินทางมาที่ภาคใต้ของประเทศไทย ที่แรกที่เรามาคือจังหวัดตรังและแน่นอนว่าเมื่อเราพูดถึงภาคใต้สิ่งที่เราคิดถึงเป็นอย่างแรกก็คงจะหนีไม่พ้นทะเล เพราะทะเลของภาคใต้นั้นมีหาดทรายขาว น้ำใสมากๆ มาตรังครั้งนี้เราจึงพาทุกคนมาที่ “บ่อหินฟาร์มสเตย์” แต่ก่อนที่เราจะเดินทางไปยังบ่อหินฟาร์มสเตย์เราได้แวะชมพิพิธภัณฑ์พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี หรือ คอซิมบี๊กันก่อน พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี ท่านเป็นข้าราชการที่เสียสละ ทำประโยชน์ให้กับจังหวัดตรังและจังหวัดใกล้เคียงตั้งแต่ราวปี พ.ศ.2400 นอกจากนี้ยังเป็นบุคคลสำคัญของชาวเมืองตรังอีกด้วย สำหรับตัวพิพิธภัณท์นั้นเคยเป็นบ้านของพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดีที่ท่านเคยอาศัยอยู่จริงในช่วงที่ท่านยังคงอยู่ ซึ่งบ้านหลังนี้เป็นบ้านเรือนไทยทรงปั้นหยา รองรับผู้คนได้ไม่มากนักที่พิพิธภัณฑ์จึงต้องมีข้อกำหนดในการเข้าเข้าชม หลังจากนั้นเราจึงเดินทางไปบ่อหินฟาร์มสเตย์ ที่นี่เป็นการท่องเที่ยวโดยชุมชนคือมีการจัดการโดยคนในชุมชนเอง และดึงเอาทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนออกมาทำการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่มีกิจกรรมให้เราได้ล่องเรือชมอ่าวแต่ละอ่างของบ่อหินฟาร์มสเตย์ ชมวิวพระอาทิตย์ตกที่หาดเก็บตะวัน ดูหินงอกหินย้อยที่อ่าวบุญคง มาสปาเท้าที่บ่อน้ำพุร้อนที่อยูในป่าชายเลน เป็นน้ำพุน้ำเค็มร้อนที่มีที่ฟ้าใสน่าตื่นตาตื่นใจมากๆ และสุดท้ายก็มีกิจกรรมปลูกป่าชายเลนกันเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ป่าชายเลนและเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำให้กับระบบนิเวศอีกด้วย แม้เราจะเคยพายเรือคายัคล่องไปตามป่าชายเลน ล่องไปที่ปากอ่าวของหมู่บ้านสลักคอกมาแล้ว แต่การนั่งเรือหางยาวในครั้งนี้ก็สร้างความตื่นเต้นและความประทับใจให้เราไม่แพ้กัน การล่องเรือไปในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่เราชอบมากๆ ช่วงที่ไปชมอ่าวบุญคงให้ความรู้สึกเหมือนเราเป็นเรือลำน้อยที่ลอยอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรเพราะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นฝั่งเลย ลมพัดแรงจนทำให้เรือโคลงเคลง คนว่ายน้ำไม่เป็นอย่างเราก็แอบหวั่นใจเล็กน้อย แต่เราก็ไม่พลาดที่จะลุกขึ้นยืนบนเรือแล้วถ่ายภาพ ความรู้สึกตอนนั้นทั้งสนุก ทั้งเย็นสบายและกลัวไปด้วย สุดท้ายภาพที่ออกมาองค์ประกอบภาพมันเพอร์เฟคมากๆ และในขากลับน่าเสียดายมากๆเราต้องรีบกลับจึงไม่ได้รอชมพระอาทิตย์ตกที่หาดเก็บตะวัน ใครที่มีโอกาสได้เดินทางมาที่นี่ อย่าลืมแวะมาชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดของหาดเก็บตะวันแทนเรากันด้วยนะคะ \\
itsebigirl • 18 ก.พ. 63
อ่าน
never have i ever ซีรีส์วัยรุ่น สุดฟิลกู๊ด
ผู้กำกับ: Mindy Kaling , Lang Fisherช่องทางรับชม : Netflix เรื่องนี้เป็นผลงานล่าสุดของ มินดี้ คาร์ลิ่ง นักแสดง-นักเขียน ชาวอินเดียฝีมือเยี่ยม ที่มีผลงานดังมากมาย เธอได้หยิบเอาเรื่องราวสมัยไฮสคูล มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างซีรีส์เรื่องนี้ออกมาเรื่องย่อ ครอบครัวของ เดวี่ ย้ายมาอยู่ที่อเมริกาจนตอนนี้เดวี่อายุ 15 ปี ที่มีความเป็นอเมริกันมากกว่าพ่อและแม่ที่ยังยึดขนบแบบชาวฮินดูอย่างเหนียวแน่น เป็นธรรมดาเพราะเธออยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็ก ๆ คำพูดคำจาก็เหมือนเด็กวัยรุ่นอเมริกันทั่วไป เดวี่มีปมในใจอยู่เรื่องหนึ่งก็คือ พ่อของเธอเสียชีวิตกลางงานแสดงดนตรีของเธออย่างกะทันหัน เหตุการณ์นั้นมันทำให้เธอเสียใจหนักมาก อยู่ ๆ เธอก็เดินไม่ได้แต่ก็มีสิ่งหนึ่งทำให้เธอลุกขึ้นมายืนได้แบบไม่รู้ตัวนั้นก็คือผู้ชายที่เธอชอบเหมือนเธอจะนั่งอยู่บนรถเข็นเธอสบตาก็เขาแล้วเธอก็ลุกขึ้นยืนได้เฉยเลย แพ็กตั้นคือผู้ชายที่เธอแอบชอบ เขาเป็นหนุ่มนักกีฬาสุดฮอตประจำโรงเรียน หลังจากนั้นเธอก็ได้ตั้งเป้าว่าฉันจะเปลี่ยนตัวเองมาเป็นสาวสวยที่เฉิดฉายและมี sex กับผู้ชายแบบที่ผู้หญิง ๆ คนอื่น ๆ เขาทำกัน เดมี่ยังชวนเพื่อนซี้ทำภารกิจว่าก่อนขึ้นม.4 คราวนี้พวกเราจะมีแฟนกันทุกคน แต่นี่ไม่ใช่แค่ซีรีส์แนววัยรุ่นทั่วไปแต่ยังเล่าถึงการเติบโตขึ้นของตัวละครแล้ว มันยังเป็นเรื่องราวโรแมนติกเบาสมองมากดูแล้วผ่อนคลาย แต่ยังสอดแทรกการเสียดสีสังคมอย่างร้ายกาจซ่อนปมได้อย่างแนบเนียนแถมยังมีประเด็นดราม่าที่บีบหัวใจมาก เช่น การเผชิญหน้ากับความเศร้า การรับมือกับความสูญเสีย และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดค่ะ ถ้าอยากรู้ว่าสนุกแค่ไหนอย่าลืมไปติดตามชมทาง Netflix นะคะความรู้สึกหลังที่ดูเรื่องนี้จบซีรีส์เรื่องนี้ทำให้เราชอบเรื่องนี้มากคือองค์ประกอบในเรื่องดีมาก ค่อนข้างลงตัวทำให้เราเชื่อมโยงตัวเองเข้าไปในเรื่องได้ง่ายเพราะเนื้อเรื่องหลักพยายามที่จะเล่าเรื่องการเข้าสังคมของตัวหลัก เธอต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเป็นที่ยอมรับในสังคม สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในโรงเรียน ที่แม้แต่ทำงาน เรื่องนี้ล้วนทำให้รู้ว่าทุกคนล้วนมีปัญหา เราต้องรู้จักเผชิญกับปัญหาและแก้ไขมันNever Have I Ever ที่เข้าถึงได้อย่างไม่ยากแล้ว และสิ่งที่ทำให้ซีรีส์มีเสน่ห์ที่สุดคือบทที่ชาญฉลาด สร้างสรรค์ฉากต่าง ๆ ออกมาได้อย่างสนุกสนานความอลวนอลเวงในปมความรักของนางเอกทำให้เรายิ่งอยากติดตามเอาใจช่วยนางเอกมากขึ้นไปด้วยค่ะข้อคิดต่าง ๆ ที่ได้จากเรื่อง1. ความสูญเสียที่เป็นปมภายในใจที่ปลดปล่อยไม่ได้ของนางเอก เธอต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับและเดินหน้าต่อไป2. การเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ สีผิว คนเราทุกคนต้องได้รับการยอมรับ ในซีรีส์เรื่องนี้ได้เล่าเรื่อง LGBT ที่ไม่ได้โฉ่งฉ่างแต่กลับเล่าให้กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมและทำให้มันเป็นที่ยอมรับเพราะนี่คือตัวตนของคนทุกคน3. ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมของอเมริกา ความเป็นอยู่ของเขาเหมือนว่าเราได้เรียนรู้ทีละเล็กทีละน้อยจุดเด่น1. สิ่งที่ซีรีส์นี้ทำได้ดีคือการใส่เรื่องราวตัวละครสมทบมาได้น่าติดตามทุกคน2. องค์ประกอบทุกอย่างในเรื่องลงตัวมาก3. มีข้อคิดมากมายจากเรื่องนี้จุดด้อย1. พล็อตเรื่องเดิม ๆ แนวหนังรักวัยรุ่น ซึ่งแม้เรื่องจะฉีกให้นางเอกเป็นคนอินเดียที่มีความเก่งในตัวเองสูงเท่านั้น และก็เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจมากค่ะ เราให้คะแนนที่8.5/10 เพราะมีเนื้อหาที่สนุกทุกอย่างลงตัว ในเรื่องแฝงไปด้วยข้อคิดเยอะแยะมากมาย เช่น การเป็นที่ยอมรับในสังคมและได้แทรกเรื่องLGTB เข้ามาในเรื่องได้อย่างน่าสนใจแต่ไม่ได้มีความรุนแรงทางเพศมาเกี่ยวข้องเลยสักนิด มีการผสมผสานวัฒนธรรมสองฝั่งไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เป็นเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องค่ะ ทุกคนต้องไปดูให้ได้นะคะ รูปภาพหน้าปกจาก : Netflix Thailandรูปภาพในเนื้อหาจาก : Official Trailer
hotchocolate • 14 ส.ค. 63
อ่าน
[รีวิว] Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย ซีรี่ย์มัธยมไฮสคูลสุดเฟี้ยวของ Netflix
สำหรับใครที่กำลังเบื่อกับซีรี่ย์แนวเดิมๆ เรื่องเดิมๆ กำลังหาซีรี่ย์เรื่องใหม่แต่ไม่มีเรื่องไหนที่ถูกใจเลย เราขอเชิญทางนี้ค่ะ วันนี้เราจะมาแนะนำซีรี่ย์เรื่องใหม่ของ Netflix ที่มีชื่อว่า "Never Have I Ever" (Cr.Netflix) Never Have I Ever เป็นซีรี่ย์รักวัยใสของเด็กสาวอเมริกันอินเดียสายเนิร์ดนามว่า “เดวี่” ที่ต้องการมีเซ็กส์กับแพ็กซ์ตันหนุ่มสุดฮอตประจำโรงเรียน เธอจะทำอย่างไรต่อไปในเมื่อ 'ก็คนมันไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน'... ภารกิจนี้จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีหรือไม่ มาช่วยเป็นกำลังใจให้กับเธอได้ใน Netflix แล้ววันนี้ค่ะ (โดยซีรี่ย์จะมีทั้งหมด 10 ตอน ตอนละประมาณ 30 นาที ใช้เวลาทั้งหมด 5 ชม. เอาใจคนมีเวลาน้อยดูคืนเดียวก็สู้ไหวค่ะ)Trailer : https://www.youtube.com/watch?v=HyOCCCbxwMQ(Cr.Netflix)[มีสปอยเนื้อเรื่องเริ่มต้นนิดหน่อย]เนื้อเรื่องจะถูกนำเสนอในมุมของชาวอินเดียที่มาอาศัยอยู่ในประเทศอเมริกา แสดงให้เห็นถึงความเชื่อและวัฒนธรรมแตกต่างออกไป อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นของซีรี่ย์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งเล่าเรื่องผ่านเดวี่ที่หลังจากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอ ทำให้เธอเดินไม่ได้ไป 3 เดือน และเมื่อกลับมาเดินได้อีกครั้งเธอตั้งใจจะปฏิวัติตัวเองให้เป็นสาวสุดเจ๋งที่มีความรักสุดเร่าร้อนกับแพ็กซ์ตัน! โดยมีเพื่อนซี้หลากหลายเชื้อชาติของเธอเข้ามาร่วมขบวนการด้วย(Cr.Netflix) เรื่องราวดำเนินไปคล้ายกับภารกิจพิชิตรักที่มีเรื่องราวต่างๆ มากมายมาทำให้คุณสนุกสนานและปวดหัวไปพร้อมกันๆ นอกจากนี้ ด้วยความซ่าสุดทีนของเดวี่ และพฤติกรรมแปลกๆ ของเธอ ทำให้ซีรี่ย์เรื่องนี้มีสีสันมากขึ้นเลยทีเดียว ในขณะเดียวกันเนื้อเรื่องยังคงสอดแทรกปมปัญหาทางครอบครัวเรื่องของความแตกต่างทางความคิดของเด็กและผู้ใหญ่ มีการกล่าวถึง LGBT เล็กน้อย รวมถึงปัญหาระหว่างแก๊งเพื่อน และวัฒนธรรมที่แตกต่างอย่างลงตัว ซึ่งทั้งหมดนี้เรียบเรียงออกมาได้กลมกล่อมและน่าชื่นชมทีเดียว (Cr.Netflix)โดยรวมแล้ว Never Have I Ever เป็นซีรี่ย์ที่ผ่อนคลาย เบาสมอง ดูได้เรื่อยๆ แม้ว่า Netflix จะทำซีรี่ย์แนวนี้ออกมามากแล้วก็ตาม แต่ซีรี่ย์เรื่องนี้ก็สามารถครองใจผู้ชมได้ด้วยเนื้อเรื่องที่ตลก การเดินเรื่องที่ไม่น่าเบื่อ มีจุดหักมุมที่น่าสนใจ และนักแสดงของเรื่องก็เลือกเฟ้นออกมาได้เป็นอย่างดีตามคาแรคเตอร์ของตัวละคร ซึ่งจะทำให้หัวใจของคุณเต้นรัวอย่างคาดไม่ถึงแน่นอนค่ะ ยังไงก็ไปเป็นกำลังให้กับเดวี่ได้ใน Netflix สามารถรับชมผ่านกล่อง trueID TV ได้แล้ววันนี้นะคะ ✌✌
ppaloy • 17 มิ.ย. 63
อ่าน
รีวิวซีรีส์ Never Have I Ever (SPOIL)
เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของวัยว้าวุ่นเป็นสิ่งที่ยากเกินจะห้ามไว้ได้ ซีรีส์วัยรุ่นที่กำลังมาแรงอย่าง Never Have I Ever นั้นสามารถตอบโจทย์ความตลกและเนื้อหาสาระได้อย่างแน่นอนเป็นผลงานการกำกับของ Lang Fisher และ Mindy Kaling โดยเนื้อหาภายในซีรีส์ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนตัวอย่างที่ปล่อยออกมา เป็นเรื่องราวของสาวเชื้อสายอินเดียมัธยมปลายอย่าง Devi (เดวี่) รับบทโดย Maitreyi Ramakrishnan เธอต้องการเปลี่ยนตัวเองจากเด็กเฉิ่มให้กลายเป็นดาวเด่นและมีแฟน แต่อะไรคือสาเหตุของการปฏิวัติตัวเองครั้งนี้ของเดวี่ต้องติดตามต่อในซีรีส์รีวิวสปอยล์เนื้อหาบางส่วนเดวี่เป็นเด็กมัธยมปลายที่สูญเสียพ่อ เธอต้องอยู่กับแม่ผู้เคร่งครัดศาสนา เธอต้องการที่จะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นสาวสไตล์อเมริกันเพราะเธอไม่ได้สนใจความเป็นอินเดียเลย สิ่งที่ทำให้เดวี่ยังต้องนับถือศาสนาพรหมฮินดูคือแม่จึงทำให้เธอต้องปฏิวัติตัวเอง จากตัวอย่างและเรื่องย่อของซีรีส์คงเดาไม่ยากว่าการดำเนินเรื่องต้องเกี่ยวกับความรัก เดวี่และกลุ่มเพื่อนต้องทำภารกิจเปลี่ยนจากกลุ่มเด็กเฉิ่มให้กลายเป็นกลุ่มเด็กฮอตให้ได้เดวี่ได้พบกับแพ็กสัน (Paxton) รับบทโดย Darren Barnet หนุ่มนักกีฬาสุดฮอตบทนิยายขายฝันสุด ๆ เดวี่ทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้คบกับแพ็กสัน แต่ระหว่างทางก็ไม่ได้มีอุปสรรคเข้ามาทดสอบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ครอบครัว และตัวเธอเองที่มีบาดแผลในใจต้องพบจิตแพทย์เป็นประจำบาดแผลที่อยู่ในใจของเดวี่คือปัญหาใหญ่ที่ทำให้เธอโหยหาความรักจากที่อื่น จากการวิเคราะห์ของผมแล้ว สาเหตุที่ทำให้เดวี่โหยหาความรักแบบฉบับวัยรุ่น หรือต้องการให้เพื่อนมองเห็นปัญหาของเธอใหญ่กว่าใครอื่นเพราะหนึ่งเธอสูญเสียพ่ออันเป็นที่รัก บุคคลผู้เข้าใจและรับฟังความเห็นของเดวี่ สองเธอต้องอยู่กับแม่ชาวอินเดียที่เคร่งครัด บังคับเธอทุกอย่างขัดกับสังคมเสรีภาพอย่างอเมริกันและแม่ของเดวี่มักพูดทำร้ายจิตใจตลอด ทำให้พฤติกรรมของเธอกลายเป็นเด็กขาดความรักซีรีส์สะท้อนสังคมมาก ๆ ถ้าได้นั่งรับชมกับครอบครัวต้องดีอย่างแน่นอน ได้เรียนรู้จากซีรีส์เกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กว่าเกิดมาจากการเลี้ยงดูและสังคมที่อยู่ เช่น กรณีของเดวี่ จริงอยู่ที่พ่อแม่ของเธอเป็นชาวอินเดียแต่สังคมที่อยู่คืออเมริกัน ฉะนั้นโรงเรียนจึงสอนเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องธรรมดาซึ่งขัดกับขนบธรรมเนียบของบ้าน พฤติกรรมของเดวี่จึงก้าวร้าวอย่างที่เห็น แต่ผลสุดท้ายซีรีส์ก็จบแบบมีความสุขความรู้สึกหลังรับชม ซีรีส์สร้างปมขึ้นมาได้น่าสนใจเป็นประเด็นเกี่ยวกับเด็กขาดความรักเพราะอยู่กับผู้ปกครองที่เคร่งครัดมากเกินไป จึงส่งผลทำให้เดวี่ต้องพบจิตแพทย์เนื้อเรื่องก็เชื่อมโยงไปถึงการโหยหาความรักของเหล่าวัยรุ่น ซึ่งที่กล่าวมาทำให้น่าสนใจมากแต่ตอนจบผู้กำกับตัดจบง่ายมากเกินไปผมมองว่าไม่สมเหตุสมผล ผู้รับชมอย่างผมคาดหวังอยากให้ seasons 2 เล่นประเด็นต่าง ๆ ให้กระจ่างและขยายมุมมองของตัวละครให้เด่นชัด และถ้าไม่ชมไม่ได้เลยคือซีรีส์ตลกมาก เดวี่เธอเป็นผู้หญิงอารมณ์แปรปรวนจุดนี้ช่วยสร้างเสน่ห์ให้ตัวละครมาก ๆ ครับ สำหรับคุณผู้อ่านท่านใดสนใจ สามารถรับชมได้ผ่านทาง Netflix นะครับขอบคุณรูปภาพทั้งหมดจาก Never Have I Ever | Official Trailer | Netflix
HOMOSICK • 5 มิ.ย. 63
อ่าน
รีวิวหนังสือ THE KNIFE OF NEVER LETTING GO จาก PATRICK NESS
The Knife of never letting go หรือในชื่อไทย มีดของท็อดด์ เป็นนิยายในชุด Chaos Walking Trilogy เขียนโดย Patrick Ness ผู้สร้างปรากฏการณ์จากนิยายเรื่อง A Monster calls ที่ได้กลายเป็นภาพยนตร์ในปี 2016 และกระแสวิจารณ์เป็นไปในทางที่ดีทีเดียว คะแนนจาก Rotten Tomato สูงถึง 86% จึงทำให้สำนักพิมพ์ Words wonder ได้ซื้อลิขสิทธิ์เรื่องอื่นของ Patrick เข้ามาแปลอีก(และหวังว่าจะมีอีกเรื่อยๆ) มีดของท็อดด์ เป็นนิยายแนวไซไฟ-ดิสโทเปีย อย่าเพิ่งคิดว่า "อีกแล้วหรอ!" เพราะเรื่องนี้เราบอกเลยว่า มันไม่ซ้ำกับเนื้อหาที่ไหนแน่นอน แม้ว่าจะเป็นดิสโทเปียเหมือนกัน แต่เนื้อหา ตัวละคร สังคม ไม่จำเจแน่นอน มีดของท็อดด์ว่าด้วยเรื่องราวของของเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าท็อดด์(แหม่ จะชื่อไหนซะอีก) กับโลกนิวเวิลด์และเมืองเพรนทิสทาวน์ที่ทุกอย่างมี "เสียงคิด" ของตัวเอง นั่นรวมถึง หมา นกฮูก จิ้งหรีด วัว คน และอื่นๆอีกมากมายที่เราไม่อาจสาธยายได้ คิดดูสิว่ามันจะวุ่นวายขนาดไหน เพราะเสียงคิดของทุกคน และทุกสรรพสิ่งจะตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ข้อดี(มั้ง)คือ ไม่มีความลับต่อกัน เพราะผู้คนจะเห็นสิ่งนั้นในความคิดของคนๆนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการโกหกหรือปกปิด(อ้าว) ซึ่งถามว่าปิดได้มั้ย ขึ้นอยู่กับคน ประสบการณ์และการฝึกฝน เจ้าหนุ่มน้อยท็อดด์เป็นเด็กวัย 13 ซึ่งกำลังย่างเข้าผู้ใหญ่ในอีก 29 วัน ท็อดด์ได้ของขวัญวันเกิดในปีก่อนๆเป็นหมาที่ชื่อว่า "แมนชี่" และมันน่ารักน่าเอ็นดูมาก(ภาพในหัวคือโกลเด้นชัวร์) ซึ่งท็อดด์เนี่ยไม่ได้อยากได้หมาเลย สักนิดเดียว เขาเพียงอยากได้จักรยานพลังงานนิวเคลียร์ ท็อดด์มองว่าแมนชี่คือภาระที่ตัวเขาเองไม่อยากจะรับผิดชอบ ท็อดด์เป็นเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่กับเบนและคิลเลียนที่เป็นเพื่อนบ้านที่สนิทของแม่เขา นิยายเปิดตัวในหน้าแรกด้วยเสียงของแมนชี่ ที่ร้องบอก(ในความคิด) กับท็อดด์ว่ามัน "อยากอึ๊" แน่ล่ะ หมาจะคิดอะไรหล่ะ ซึ่งการที่เจ้าแมนชี่ปวดอึ๊ในขณะที่ท็อดด์กำลังไปเก็บแอปเปิ้ลให้เบนนั้นกลับกลายว่า มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตของทั้งคู่ไปตลอดกาล เพราะทั้งคู่ดันไปเจอกับความเงียบเข้า ลองจิตนาการถึงโลกที่ทุกอย่างมีเสียงแม้กระทั่งไส้เดือน แต่แล้วกับมีบางสิ่งที่ไม่มีเสียง มันเป็นเรื่องแปลกและน่ากลัวอยู่ไม่น้อยสำหรับท็อดด์ที่เติบโตมาพร้อมกับเสียง เพราะเขาไม่รู้จักความเงียบ ความเงียบที่เป็นรูปร่าง ที่เหมือนกำแพงบาเรียที่กันเสียงทุกอย่าง แต่เราไม่เฉลยหรอกนะว่าคืออะไร เพราะถ้าอยากรู้ก็ไปอ่านเองสิ! (ฮา) เรื่องหน้าแปลกอีกเรื่องหนึ่งในเพรนทิสทาวน์คือที่นี่ไม่มีผู้หญิง และประชากรผู้ชายเหลือเพียงประมาณ 50% ผู้หญิงคนสุดท้ายในเมืองก็คือแม่ของท็อดด์ หมายความว่าท็อดด์เป็นเด็กชายเพียงคนเดียวในเมือง เขาเคยมีเพื่อนที่เป็นเด็กชายวัยใกล้เคียงกันที่เกิดก่อนหน้าท็อดด์ไม่กี่เดือน แต่พอถึงวันที่พวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาก็ไม่ได้เล่นกับท็อดด์อีกเลย ซึ่งตัวท็อดด์เองก็ไม่เข้าใจ แต่ท็อดด์คิดว่ามันก็เป็นเรื่องปกติของผู้ใหญ่ที่มักไม่เล่นกับเด็ก ท็อดด์อยากโตเป็นผู้ใหญ่(ในช่วงแรก) ในความคิดของท็อดด์ การเป็นเด็กคนเดียวในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้ใหญ่มันไม่ใช่เรื่องสนุก ทุกวันในชีวิตของท็อดด์ในเมืองเพรนทิสทาวนด์ ท็อดด์มักต้องเดินผ่านสถานที่ ร้านค้า และผู้คนในเมือง มันหดหู่ น่าเศร้า และบางครั้งก็ชวนขนลุก ผู้ชายในเมืองหลายคนสูญเสียผู้หญิงของตนไป เพราะโรคเสียงคิด(หลายคนเชื่ออย่างงั้น) การเสียคู่รัก ลูกสาว แฟน มันทำให้เมืองเพรนทิสทาวน์เป็นเมืองหม่นๆ ที่ที่ทุกอย่างเหมือนค่อยๆตายลงอย่างช้าๆ บางคนก็อยากจะตายตามภรรยาไป บางคนก็ฝืนอยู่เหมือนคนที่ไร้วิญญาณ และยังมีเหตุการณ์ปริศนาในเมืองที่ผู้ชายหลายคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครตามหา และไม่มีใครพบศพ ไม่ไกลจากเมืองเพรนทิสทาวน์ จะมีบึงขนาดใหญ่ที่มีพวกจระเข้ยั้วเยี้ยที่กั้นเมืองเพรนทิสทาวน์กับป่าขนาดใหญ่ ท็อดด์ไม่เคยออกนอกเมือง ไม่เคยเดินเข้าไปในป่าหลังบึง ท็อดด์เชื่อว่าเมืองเพรนทิสทาวน์เป็นเมืองเดียวบนโลกใบนี้ ที่ที่ทุกคนอพยพมาจากโลกเก่า และพยายามที่จะสร้างยูโทเปียที่โลกใบนี้ แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น โลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า "สแป็คเกิล" เป็นสิ่งมีชีวิตท้องถิ่น ท็อดด์ฟังเรื่องราวที่เล่าต่อมาหลายทอดว่า สแป็คเกิลเป็นต้นเหตุของสงคราม โรคภัย และความตายของผู้หญิงในเมืองรวมถึงแม่ของท็อดด์ ท็อดด์ไม่เคยรู้เรื่องที่แท้จริงว่าเกิดอะไรขึ้นพอๆกับไม่เคยรู้จักแม่กับพ่อของตัวเองเช่นเดียวกัน การรักษาความสงบภายในหัวของตัวเอง เพื่อไม่ให้สติตัวเองไหลไปกับเสียงคิดของผู้อื่น ท็อดด์มักมีคาถาในใจของเขา ที่เขาเรียนรู้มาจากเบน เสียงคิดในนิยายเล่มนี้ ไม่ใช่เพียงคำพูดที่ลอยไปลอยมา แต่มันมีรูปร่าง สี เจตนา เช่น ถ้าเป็นสีแดง มันคือความคิดที่มุ่งร้าย หรือบางครั้งก็เป็นความโมโห บางคนก็เป็นสีฟ้า นิ่งสงบ มั่นคง ให้ความรู้สึกปลอดภัย ข้อโดดเด่นของนิยายเล่มนี้คือ เราไม่เคยสงสัยมาก่อนว่าเสียงคิดของสัตว์จะเป็นอย่างไร นกฮูกคิดอย่างไร เวลาออกหาเหยื่อ จั๊กจั่นคิดยังไงเวลามันส่งเสียงร้อง ทุกความคิดที่ไหลออกมาจากสัตว์ที่ Patrick ถ่ายทอดนั้น มันตรงกับลักษณะนิสัยของสัตว์ประเภทนั้นๆ(น่าแปลกมั้ยล่ะ) อย่างวัวที่อยู่รววมกันเป็นฝูง ที่เราคิดว่ามันจะร้องเสียงลากยาวแต่ มออออ มออ ในนิยายมันกลับร้องเพลง ทุกตัวร้องเพลงเหมือนกันทุกคำพูด(เพราะซะด้วย) เหมือนกับทุกตัวในฝูงเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีวัวตัวไหนนอกคอกหรือคิดแปลกไปจากอีกตัว ตัวละครที่เราชื่นชอบมากเป็นพิเศษในเรื่องคือ เจ้าแมนชี่ เรียกได้ว่าพอถึงฉากออกทีไร จะต้องแย่งซีนตัวละครอื่นในเรื่อง(รวมถึงท็อดด์) ไปทุกที ความบื้อ ซื่อสัตย์ของหมา มันกลายเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ถึงกับวางไม่ลงทีเดียว นิยายเรื่องนี้นั้นมีความยาว 431 หน้า ใช้เวลาอ่านประมาณ 4 วันจบ ซึ่งตอนนี้สำนักพิมพ์ Words wonder ทำออกมา 2 เล่ม จากซีรี่ยมีทั้งหมด 3 เล่ม โดยเล่มที่ 2 มีชื่อว่า The Ask and The Answer และเล่มสุดท้ายที่ชื่อว่า Monsters of Men อีกทั้งนิยายเรื่องนี้ยังถูกทำเป็นภาพยนตร์ที่มีกำหนดฉายในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา(ซึ่งตอนนี้ไม่รู้เลื่อนไปถึงเมื่อไหร่) นำแสดงโดย Tom Holland สไปดี้ผู้น่ารัก(ฮา) และ เดซี ริดลีย์ ที่แสดงเป็น เรย์ ใน Star wars ถึงแม้ว่าชะตาเข้าฉายของภาพยนตร์เรื่องนี้ในตอนนี้ จะยังไม่แน่นอน แต่ถ้าใครอยากรู้เรื่องราวก่อน เราขอแนะนำให้อ่านรอพลางเพลินๆก่อน ทั้งสนุก ตื่นเต้น แปลกใหม่ ที่เราเชื่อว่าหลายๆคนจะต้องตกหลุมรักเรื่องนี้แน่นอน เอ้า! ไปอ่านเร็วสรุปคะแนนโดยภาพรวมความสนุก 4.5/5ภาษา 4/5ความน่าติดตาม 4/5 ภาพปก: ผู้เขียน/ PIC 1: ผู้เขียน/ PIC 2: Herbert Aust from Pixabay"Herbert Aust from Pixabay/ PIC 3: Roland Mey from Pixabay"Roland Mey from Pixabay/ PIC 4: ผู้เขียน
พักงานมารีวิว • 5 มิ.ย. 63
อ่าน
นครชัยแอร์ ร่วมกระตุ้นท่องเที่ยวไทย จัดโปร “Let’s go Travel” เปิดเช่ารถ 16-40 ที่นั่ง ราคาพิเศษ
นางเครือวัลย์ วงศ์รักมิตร ประธานกรรมการ บริษัท นครชัยแอร์ จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการร่วมส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ บริษัทฯ ได้จัดโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ด้วยการนำรถโดยสารมาตรฐานสูงให้บริการเช่าเหมา และได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างดี นครชัยแอร์ จึงเริ่มจัดโปรโมชั่นต่อเนื่อง Lets go Travel ชวนคุณไปเที่ยวกัน เช่าเหมารถโดยสารขนาดตั้งแต่ 16 40 ที่นั่ง ในราคาสุดคุ้ม เริ่มจองได้ตั้งแต่วันนี้ 15 มีนาคม 2564 และเดินทางได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 สำหรับรถเช่าเหมาที่ร่วมโปรโมชั่น Lets go travel มีให้บริการทั้งหมด 6 ประเภท ได้แก่ รถมินิบัสเช่าเหมา Toyota Coaster ขนาด 16 ที่นั่ง จากราคาปกติ 9,900 บาท/วัน เหลือ 6,999 บาท/วัน Mercedes Benz ขนาด 18 และ 20 ที่นั่ง จากราคาปกติ 12,000 บาท/วัน เหลือ 9,900 บาท/วัน รถบัสเช่าเหมา ขนาด 18 ที่นั่ง ราคาปกติ 19,500 บาท/วัน เหลือ 14,500 บาท/วัน รถบัสเช่าเหมา ขนาด 21 และ 32 ที่นั่ง ราคาปกติ 19,500 บาท/วัน เหลือ 14,500 บาท/วัน และรถบัสเช่าเหมา ขนาด 40 ที่นั่ง ราคาปกติ 16,500 บาท/วัน เหลือ 14,500 บาท/วัน โดยลูกค้าสามารถกำหนดแผนการเดินทางได้ด้วยตัวเอง ทั้งจุดหมายปลายทาง จุดแวะพักระหว่างทาง รวมไปถึงร้านอาหาร และโรงแรมที่พัก โดยในส่วนของมาตรการคุมเข้มความปลอดภัย รถเช่าเหมานครชัยแอร์ทุกคัน ติดตั้ง GPS และอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยครบครัน ตามมาตรฐานกรมการขนส่งทางบก และได้รับการทำความสะอาดตามมาตรฐานของกรมอนามัย ทั้งภายในและภายนอก ด้านพนักงานขับรถ ได้จัดเตรียมคนขับที่มีความชำนาญเส้นทางที่ให้บริการ และมีใบอนุญาตขับรถตรงตามประเภทของรถ พร้อมทั้งบริการเจลแอลกอฮอล์ให้บริการบนรถโดยสาร เพื่อสุขอนามัยของผู้ใช้บริการ นางเครือวัลย์ กล่าวต่อไปว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการบริหารจัดการด้วยมาตรฐานเดียวกัน ทั้งรถโดยสารประจำทาง และรถเช่าเหมาทัศนาจร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นผู้ใช้บริการ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการ ด้วยเส้นทางที่หลากหลายครอบคลุมการเดินทางทั่วประเทศไทย สนใจเช่าเหมารถนครชัยแอร์ ติดต่อแผนกรถเช่าเหมาและทริปท่องเที่ยว เบอร์โทรศัพท์ 092-415-5335 หรือที่ Line: @ncatour
มติชน • 24 ก.พ. 64
อ่าน
แนะนำ: Never Have I Ever สักครั้งในชีวิตที่แม่ไม่เข้าใจ!
ในที่สุด! ก็มีโอกาสได้รีวิวซีรีย์วัยรุ่นเนื้อหาปังสุดฉุดไม่อยู่อย่างเรื่อง Never Have I Ever ซึ่งเป็นซีรีย์ของทาง Netflix นั่นเอง ในตอนแรกก็คิดว่าคงเป็นหนึ่งในซีรีย์วัยรุ่นที่มีพล็อตเรื่องเดิมๆไม่ได้แตกต่างอะไร ประมาณว่าเด็กเนิร์ดอยากเทิร์นเป็น Gossip girl ซึ่งในตอนแรกมันก็ใช่อ่ะนะ ฮ่าๆๆ แต่พอดูไปเรื่อยๆก็ถึงกับร้องว้าวออกมาพร้อมอ้าปากค้างเหวอในรายละเอียดที่ทางซีรีย์ได้สอดแทรดเอาไว้ให้คิด ซึ่งข้อแตกต่างของเรื่องนี้คือความยากลำบากของเด็กวัยรุ่นแรกแย้มที่ต้องการมีชีวิตเหมือนเพื่อนอเมริกันรอบๆตัว แต่กลายเป็นว่าเพราะศาสนาและวัฒนธรรมของชนชาติเดิมเธอนั้นทำให้ความยากลำบากเกิดขึ้น ซึ่งก็ตรงกับชื่อเรื่องที่ว่า ก็คนมันไม่เคย...เป็นวัยวรุ่นปกตินี่หน่า เนื้อเรื่องจะน่าติดตามขนาดไหนไปติดตามกันเลย ***ไม่มีเนื้อหาที่เป็นการสปอยแน่นอน ไว้ใจไรต์ได้เลย*** เนื้อเรื่องย่อ: Devi เด็กสาววัย 16 ที่พึ่งหายจากการเดินไม่ได้และจำเป็นต้องโตมากับแม่เพียงสองคนเพราะพ่อเสียได้ไม่นาน กำลังจะเป็นวัยรุ่นและวัยรุ่นในนิยามของเธอคือ ต้องได้ปาร์ตี้ มีชีวิตที่เป็น somebody ไม่ใช่ Nobody แบบนี้ ซึ่งเมื่ออาการเดินไม่ได้ก็หายแล้ว ทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทางไปหมด ฉะนั้นมิชชั่นแรกที่ต้องทำให้สำเร็จประเดิมช่วงวัยรุ่นก็คือได่นอนกับคนที่เธอชอบและป๊อบระดับดังข้ามโรงเรียนอย่าง Paxton แต่แค่อย่างแรกก็ขัดกับความเชื่อของชาวฮินดูของเธออย่างมหันต์ขนาดนี้ จะทำยังไงให้แม่เข้าใจหรือจะทำลับหลังแม่ดี คุณพระ! นั่นแหละค่ะเรื่องย่อที่เกี่ยวกับเด็กสาวชาวอินเดียที่เกิดและโตที่อเมริกา ภายใต้สภาพแวดล้อมที่อิสระ เธอยังคงต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนที่ขัดกับความเป็นอยู่รอบๆตัวนั่นเอง เรื่องวุ่นมันก็เลยเกิดขึ้นเมื่อเธออยากจะมีชีวิตเป็นของตัวเองสักที แต่แม่ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจและไม่ปล่อยให้เธอได้โผบินด้วยตัวเองเลยนี่สิ เอาล่ะค่ะคุณผู้อ่าน การขัดใจแม่นี่แหละที่มันส์ไม่ไหว ฮ่าๆๆ แนะนำตัวละคร Devi '16 แล้วพี่แต่มามี้ไม่ยอมให้เป็นวัยรุ่น!' หญิงสาวที่มีบุคลิกเปรี้ยวซ่าก๋ากั่นแต่ขัดกับความเชื่อที่บ้านที่ต้องเป็นเด็กเรียบร้อย รักนวลสงวนตัว ซึ่งนั่นทำให้ชีวิตของเธอค่อนข้างยากเพราะความต้องการของเธอดูจะไม่เป็นที่ปลื้มปริ่มของแม่เท่าไหร่ ยากไปกว่านั้นเนื่องจากเป็น 'ลูกรักพ่อ' จึงเดาได้ไม่ยากว่าค่อนข้างจะไม่ถูกกับแม่สักเท่าไหร่แต่เมื่อจู่ๆพ่อที่มักจะเข้าข้างเดวี่กลับเสียชีวิตไปซะงั้น ใครล่ะจะเป็นคนประนีประนอมเวลาที่เดวี่กับแม่ทะเลาะกัน ชีวิตในโรงเรียนของเดวี่ที่มีเพื่อนขนาบข้างอย่าง 'Eleanor' และ 'Fabiola' ที่ค่อนข้างจะเป็นเพียงหนึ่งในนักเรียนธรรมดาไม่ได้พิเศษอะไรและนั่นทำให้เดวี่ไม่ยอมและหาทางเปลี่ยนกลุ่มของเธอให้เริ่ดปัง เป็นที่จับจ้องของคนทั้งโรงเรียนซึ่งทุกคนรู้ดีใช่มั้ยคะว่ามันไม่ได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เธอต้องเผชิญและพุ่งชนเป้าหมายก็คือการได้นอนกับคนดังของโรงเรียนที่เธอแอบชอบอย่าง 'Paxton' ตอนแรกก็ดูจะง่ายอยู่หรอกจนกระทั่งต้องเผชิญกับความกลัวไม่กล้าของตัวเองด้วยนี่สิ เหนื่อยแทนเลยคุณแม่ Eleanor 'ชีวิตหนูดราม่ากว่าบทละครที่ได้รับอีกค่ะมัม!' สาวเอเชียที่เติบโตในอเมริกาและเป็นลูกไม้ตกไม่ไกลต้นในเรื่องการแสดง เพื่อนในกลุ่มของเดวี่ที่มักจะอยู่ข้างๆและคอยซัพพอร์ตเดวี่เสมอ ซึ่งมิชชั่นของเดวี่ก็ต้องสำเร็จ เธอจะช่วยและคอยเป็นหูเป็นตาเสมอ แต่แท้จริงแล้วนั้นความดราม่าคลุกรุ่นในชีวิตก็เกิดขึ้นกับเอลีนอร์ ซึ่งเธอจะรับมือได้มั้ยนะ Fabiola 'ผู้หญิงสายหวานทาเล็บมันไม่ใช่หนู!' เพื่อนอีกคนของเดวี่ที่มักจะอยู่ข้างๆและเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอหากแต่เรื่องของเธอกลับยังไม่มีใครได้ฟังเพราะหากพูดไปก็กลัวเพื่อนไม่เข้าใจและสังคมรอบข้างเปลี่ยนไป ความแสนดีของเฟบรีโอล่าช่างเป็นดาบสองคมในการพูดความจริงเพราะเธอเป็นห่วงความรู้สึกคนรอบข้างหากได้รู้เรื่องในใจของเธอ Paxton 'คนดังก็มีหัวใจ ผมไม่ได้ชอบใครที่หน้าตา' คนนี้ขอหวีดเพราะหลงไม่ไหวแล้วค่าาา เพกตันคือชายในฝันของเดวี่ (รวมถึงไรต์ด้วย ฮ่าๆๆ) ที่เป็นหนุ่มฮอตนักว่ายน้ำของโรงเรียน ซึ่งคงคอนเซ็ปเบสิคที่ว่า สาวเนิร์ดชอบหนุ่มป๊อบ ประมาณนั้น แต่แท้จริงแล้วนั้นสิ่งที่คนอื่นเห็นเพกตันมันไม่ใช่ร้อยเปอร์เซ็นที่เขาเป็นและเขาก็รอว่าสักวันจะมีคนบางคนเข้ามาเข้าใจเขาและพร้อมรับในสิ่งที่เขาเป็นจริงๆให้ได้ โอ้โห อวยกันซะไม่มี ฮ่าๆๆ Ben 'หนุ่มเนิร์ดแสนเพอร์เฟคก็เหงาเป็น' คู่กัดตลอดกาลของเดวี่ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่มีวันญาติดีกัน โดยเบนเป็นหนุ่มเนิร์ดแสนรวยที่มีแฟนแสนสวยแล้ว ทุกอย่างดูครบครันไม่ขาดสิ่งใดอีกหากแต่ใจจริงแล้วนั้น เขากลับเหงาและรู้สึกว่าทุกอย่างมันไม่เห็นมีค่าเลย เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อมีเพื่อนสักคนที่จริงใจกับเขา โถๆ อย่าร้องนะลูกกก พ่อแม่ของเดวี่ แก้วตาดวงใจที่ไม่ว่ายังไงก็เป็นแค่เด็กเล็กๆสำหรับพ่อแม่ พ่อแม่ชาวอินเดียของเดวี่ที่ย้ายมาทำงานที่อเมริกาและมีลูกด้วยกันหนึ่งคน การเลี้ยงดูลูกให้ยังคงเป็นสาวอินเดียที่ไม่ลืมวัฒนธรรมชนชาติของตนในสังคมที่ขัดกับคำสอนทุกอย่างช่างเป็นงานหนักของพ่อแม่เสียจริง ยิ่งไปว่านั้นลูกคนนี้ก็แสบใช่ย่อย แต่ให้ทำไงได้ ลูกรักของพ่อแม่ จะต้องเลี้ยงให้ได้ดีให้ได้ น้าของเดวี่ 'สวยดั่งนางฟ้าแต่ว้า...ต้องถูกคลุมถุงชน' ความสวยบางทีก็เป็นอุปสรรคสำหรับเธอในการใช้ชีวิตที่อเมริกาเพราะเมื่อเธอชอบใครและเขาชอบกลับ ยังไงก็คงพัฒนาความสัมพันธ์แบบยืนยาวไม่ได้เพราะเธอรู้อยู่แก่ใจว่ายังไงคนที่ใช่ก็คือคนที่พ่อแม่เลือกไว้ บทบาทของน้ามักจะพยายามคอยรับฟังเดวี่แต่ก็ยังต้องแก้ปัญหาของตนให้ได้ ความลำบากของสาวสวยไม่น่าอิจฉาเลยค่ะซิสสส รีวิว: โดยส่วนตัวชอบเนื้อหาของเรื่องที่ไม่ผูกปมจนเกินไป แต่ละตอนก็จะมีปัญหาในแต่ละครั้งไปเลยหากแต่ยังคงมีเนื้อหาหลักในการดำเนินเรื่องอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกๆปัญหาของเดวี่และเพื่อนๆของเธอทำให้หยุดดูไม่ได้ จนในที่สุดก็ดูจบรวดเดียวแบบไม่มีพักเลยค่ะ ฮ่าๆๆ องค์ประกอบภาพและบรรยากาศภายในเรื่องค่อนข้างดี ไม่ได้เน้นหนักไปทางชีวิตในโรงเรียนอย่างเดียวแต่ยังคงมีการพูดถึงครอบครัวของแต่ละบ้านของเด็กๆภายในเรื่อง และเบื้องหลังที่สร้างให้ตัวละครเป็นแบบนี้ก็ค่อนข้าง make sense ทำให้เราเข้าใจวัยรุ่นทุกคนในเรื่องจริงๆ ที่ชอบที่สุดคือเนื้อเรื่องไม่เน้นหนักไปทาง sex และความต้องการของวัยรุ่นเหมือนซีรีย์วัยรุ่นหลายๆเรื่องเลยทำให้เราสามารถดูซีรีย์เรื่องนี้ไปพร้อมๆกับคนในครอบครัวได้แน่นอนค่ะ Never Have I Ever ซีรีย์สะท้อนชีวิตวัยรุ่นที่ไม่เคยได้ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่น เป็นอีกหนึ่งในซีรีย์ที่อยากแนะนำคุณผู้อ่านไปตำ ไปเสพมากๆเลยค่ะและไรต์รับประกันว่าทุกคนจะต้องหลงรักตัวละครทุกตัวแน่นอน คลายเครียดละหนึ่ง ฟินละหนึ่ง ซึ้งละหนึ่ง ครบรสขนาดนี้พลาดไม่ได้แล้วนะคะ อีกทั้งซีรีย์เรื่องนี้ยังสามารถรับชมผ่านกล่อง True ID TV ได้แล้ววันนี้นะคะ เริ่ดที่สุด! สำหรับครั้งนี้ก็ต้องขอลากันไปก่อน แต่อย่างที่บอกว่าหนังดีซีรีย์ปังมีอีกเป็นร้อยล้านแปดเรื่อง ฉะนั้นครั้งหน้าไรต์จะเอาเรื่องอะไรมาฝากนั้น ปูเสื่อรอได้เลยเจ้าค่ะ ขอบคุณรูปภาพจาก เครดิตภาพปกและภาพทั้งหมดในบทความ
mikella • 18 มิ.ย. 63
อ่าน
รีวิวหนังสือ...วางลงก็เป็นสุข Just let it go
เครดิตภาพจากผู้เขียน (ดร.อาบแสงจันทร์ ต.) สวัสดีครับท่านผู้อ่านทั้งหลาย วันนี้ผู้เขียนมีหนังสือดีดีมานำเสนออีกแล้วครับท่าน...ขอถามท่านผู้อ่านทั้งหลายก่อนว่า..ความสุขคืออะไรครับ สิ่งที่มนุษย์อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ต้องการที่สุดในชีวิตถ้าผู้เขียนจะลองให้ท่านตอบในใจ (ยกเว้นห้ามตอบว่า ต้องการทรัพย์สิน เงินทอง ความร่ำรวย) ผู้เขียนเชื่อว่าทุกท่านจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ต้องการความสุข” ใช่หรือไม่ครับ แน่นอนครับหากเป็นผู้เขียนเองก็คงจะตอบอย่างเดียวกันนั้นเช่นกัน เครดิตภาพจากผู้เขียน (ดร.อาบแสงจันทร์ ต.) หนังสือที่ผู้เขียนจะนำเสนอในวันนี้คือ เรื่อง “วางลงก็เป็นสุข” Just let it go ผู้เขียน : เชียวเย่ว์ ผู้แปล : สุธิมา โพธิ์เงิน พิมพ์ครั้งที่ 5 พิมพ์ที่ : บริษัทพิมพ์ดี จำกัด ราคา 79 บาท หนังสือเล่มนี้นะครับเนื้อหาด้านในแบ่งออกเป็น 5 บท ได้แก่ 1. ปิดประตูที่อยู่ด้านหลัง (ดิ้นหลุดจากโซ่ตรวนที่ทำร้ายจิตวิญญาณละทิ้งความกลัดกลุ้มตลอดไปคนเช่นนี้คือ ผู้มีบุญ) 2. ปล่อยให้หัวใจได้แอบงีบ (เมื่อฉันต้องการหลับก็จะปิดลิ้นชักทุกบานลง) 3. คลายมือของคุณออก (เมื่อสองมือของคุณกำแน่นข้างในจะไม่มีอะไรเลยเมื่อสองมือของคุณคลายออกโลกทั้งใบอยู่ในมือคุณ) 4. เสพสุขความงามของความเรียบง่าย (ส่วนประกอบของความสุขไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเรามีอยู่เท่าใดแต่ขึ้นอยู่กับเราเสพสุขจากมันเท่าไร) 5. คนเขลาแสวงหาความสุขจากแดนไกลนักปราชญ์ปลูกมันที่ใต้ฝ่าเท้า) และภาคผนวก : วิธีการนั่งสมาธิ เครดิตภาพจากผู้เขียน (ดร.อาบแสงจันทร์ ต.) ที่ผู้เขียนชอบเป็นพิเศษในหนังสือเล่มนี้ คือ บทที่ 3 ครับคลายมือของคุณออก (เมื่อสองมือของคุณกำแน่นข้างในจะไม่มีอะไรเลยเมื่อสองมือของคุณคลายออกโลกทั้งใบอยู่ในมือคุณ) ในบทนี้จะพูดถึง ปัญญาในการยอมรับ “ความสูญเสีย” , ทดลองเรียนรู้การปล่อยวาง, เข้าใจหลักการยึด และปล่อย มีประโยคทองในหนังสือเล่มนี้ที่อ่านแล้วรู้สึกสะดุดใจ และทำให้ได้แง่คิดโดยกล่าวไว้ว่า “ชีวิตคนเรามีรัก มีโลภ มีโกรธ มีหลง มีขึ้น มีลง มีสุข มีทุกข์ มีสูญเสีย ก็มีได้มา” หรือ “ฝึกใช้ชีวิตอย่างเป็นจริงตามธรรมชาติ ให้ความเรียบง่ายคือความสุข” ประมาณนี้เป็นต้น... สำหรับผู้เขียนเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้วแทบจะวางไม่ลงเลยหละครับ อ่านแล้วรู้สึกประทับใจจริง ๆ ส่วนแรกที่เห็นได้ชัดเลยคือ การนำเสนอเนื้อหาในแต่ละบทผู้แต่งจะเน้นการถ่ายทอด (การสื่อความหมายด้วยภาษาง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน) แต่จะแฝงไปด้วยแนวคิดที่สมดุล-ลงตัวอีกทั้งการถ่ายทอดจะเป็นลักษณะของการเล่าเรื่องราว ยกตัวอย่างประกอบ บางบทมีการนำแนวคิดที่เกิดขึ้นจริงในสังคม ในชีวิตประจำวันมาเป็นส่วนหนึ่งในการอธิบาย ประการต่อมาที่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจในหนังสือเล่มนี้พบว่า ในแต่ละบทสุดท้ายจะมีการสรุปแนวคิดในแต่ละเรื่อง (บท) เป็นประโยคทองสั้น ๆ เสมือนว่าอ่านหนังสือมาเป็นร้อยบรรทัดแต่สุดท้ายสรุปใจความสั้น ๆ ที่สามารถเข้าใจได้เพียงประโยคแค่ไม่กี่ประโยค เช่น ในเรื่องของความสุข สุดท้ายผู้แต่งสรุปไว้ว่า "แม้ว่าความร่ำรวยจะนำความรู้สึกเป็นสุขมาสู่ผู้คนได้แต่ไม่ได้หมายความว่าเงินยิ่งมากความสุขจะยิ่งมาก ความสุขที่แท้จริงมาจากการค้นหาความเป็นตัวของตัวเอง และรักษาความสุขสงบทางใจ" เครดิตภาพจากผู้เขียน (ดร.อาบแสงจันทร์ ต.) เครดิตภาพจากผู้เขียน (ดร.อาบแสงจันทร์ ต.) สำหรับหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนอ่านแล้วถ้าตั้งคะแนน 10 คะแนนผู้เขียนให้ไปเลยครับ 10 คะแนนเต็มลองดูนะครับลองหามาอ่านกันดูผู้เขียนรับรองเลยสิ่งที่ท่านจะได้แน่นอนคือ คำตอบของความสุขที่ท่านไม่เคยรู้มาก่อนว่าแค่เรื่องง่าย ๆ ก็ทำให้เกิดความสุขได้สำหรับวันนี้เท่านี้ก่อนนะครับ...สวัสดีครับ
ดรอาบแสงจันทร์ต • 12 เม.ย. 63
อ่าน
รีวิวเกม เศรษฐี LINE LET’S GET RICH
ถ้าพูดถึงเกมที่ทำร่วมกันระหว่าง Line กับ Netmable ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด นั่นคือ เกมเศรษฐี (LINE Let’s get rich) เป็นเกมที่ปล่อยออกมาให้ได้เล่นมานานกว่า 5 ปี เป็นเกมที่เเทบไม่มีใครจะไม่รู้จักเลย ในช่วงที่ออกมาเเรก ๆ ตัวเราเองเดินไปที่ไหนก็เห็นเเต่เพื่อน ๆ น้อง ๆ นั่งจับกลุ่มกันเล่นเกมนี้เต็มไปหมด เเต่ถึงตอนนี้เเล้วกระเเสก็ยังคงดีเหมือนเดิม หลังจากที่มีการให้ผู้เล่นได้อัพเดตเกม เพื่อได้ลองลูกเล่นใหม่ ๆ อย่างหลากหลาย.....เกมเศรษฐี เรีกได้ว่าเป็นเกมนึงที่ค่อนข้างมีความคลาสสิค เมื่อก่อนเราจะหาซื้อเป็นกระดานเกมเศรษฐีมาจับกลุ่มเล่นกันอย่างสนุกสนาน ข้อดีคือสามารถสัมผัสของเล่นได้ด้วยมือ ส่วนข้อเสียคือถ้าเราอยากเล่นเเผนที่ใหม่ ๆ เราก็ต้องเสียเงินไปซื้ออันใหม่มาเล่น หลังจากที่มีการปล่อยเกมตัวนี้ เลยทำให้ได้รับความสนใจอย่างมากมายเลยทีเดียวเพราะนอกจากจะมีเเผนที่ให้ได้เลือกเล่นมากกว่า 15 เเผนที่เเล้ว ยังมีโหมดอื่น ๆ ให้เลือกเล่นอีกด้วย.....สิ่งที่ทำให้เกมนี้มีความพิเศษมากขึ้นไปอีก คือการมีตัวละครพร้อมกับจี้เครื่องรางที่ช่วยสนับสนุนความสามารถของตัวละคร ทำให้มีความสนุกมากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นเกมเศรษฐีเเบบเมื่อก่อน เราทำได้เเค่ทอยลูกเต๋าเเล้วเลื่อนตำเเหน่งเพียงเท่านั้น เลยเรียกได้ว่ามีความพิเศษขึ้นมาก ๆ เลยทีเดียว เป็นเหตุผลที่ทำให้เราติดงอมเเงมเลยนั่นเองทุกคน.....จากภาพด้านบน เป็นบรรยากาศการเเข่งขันนั่นเอง ทั้งภาพ ทั้งเสียง เรียกได้ว่าจัดเต็มมาก ๆ มีความเพลิดเพลินถึงขั้นสุด สำหรับใครที่ยังไม่ได้ลอง เราอยากให้เปิดใจดู เเล้วจะติดใจ เปลี่ยนวันเครียด ๆ ให้เป็นวันแสนเพลิดเพลินได้ด้วยการเล่นเกมเศรษฐีได้เลย..... สามารถโหลดได้ทั้งระบบ IOS เเละ ANDROID..... เเหล่งอ้างอิงภาพประกอบบทความทั้งหมด เเละภาพปก : ผู้เขียน
Sompop • 5 พ.ค. 63
อ่าน
10 ข้อที่ควรดูซีรีส์อินเดีย-อเมริกัน Never Have I Ever (2020) จาก NETFLIX Original
ซีรีส์ที่ผสมผสานความเป็นเอเชียท่ามกลางสังคมวัยรุ่นอเมริกัน การใช้ชีวิตของเดวี่ วิศวกุมาร สาวน้อยเชื้อสายอินเดีย 100% ที่เติบโตในอเมริกา มองเผิน ๆ ก็เหมือนคนอินเดียทั่ว ๆ ไป แท้จริงเธอไม่มีความเป็นอินเดียเลยต่างหาก ซีรีส์ถ่ายทอดการใช้ชีวิตไฮสคูลที่มีทั้งความรัก มิตรภาพ ครอบครัว เป็นหนัง Coming of Age ที่มีสีสันของความเป็นอินเดียเข้ามาทำให้มีความสับสันปะปนกันไป ทำไมเราจึงแนะนำให้ไปดูเพราะ 10 ข้อที่ควรดูของ Never Have I Ever ภารกิจแสนซน ของคนไม่เคยของเดวี่ ที่ต้องลองทำบางอย่างเป็นครั้งแรกก่อนก้าวข้ามความเป็นวัยรุ่นไปก็น่าจะโดนใจหลาย ๆ คนที่ผ่านช่วงเวลานั้นมา01 รู้จักวัฒนธรรมอินเดียผ่านครอบครัวของเดวี่ เราจะเห็นว่าครอบครัวนี้มาอยู่ที่อเมริกาเพราะหน้าที่การงานที่เติบโต ประชาชนส่วนใหญ่ในอินเดียนับถือศาสนาฮินดู รวมถึงครอบครัวนี้ด้วย สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เห็นคือ พ่อแม่ไม่ทานเนื้อวัว แต่เดวี่เองทาน แม่ที่บังคับลูกให้เป็นไปตามวิถีของคนเอเชีย ตั้งใจเรียนอย่างเคร่งครัด ห้ามคบเพื่อนต่างเพศ มองภาพการศึกษาต้องควบคุมเด็ก การศึกษาแบบอเมริกาไม่สร้างคนคุณภาพ02 มิตรภาพภายในกลุ่มเพื่อนที่รวมตัวกันหลายชาติพันธุ์ทั้งอินเดีย จีน และเม็กซิกัน ที่เหล่าเพื่อนในโรงเรียนในฉายากลุ่มนี้ว่า UN เป็นการรวมตัวของคนที่ไม่โดดเด่น แต่ก็มีความอบอุ่นและจริงใจภายในแก้งค์เพื่อนกลุ่มเล็ก ๆ03 Stereotype ที่มองคนเอเชียว่าฉลาด แบบที่เพื่อน ๆ ในห้องให้ฉายาว่ากลุ่มเนิร์ด ที่สำคัญซีรีส์ก็ทำให้เห็นว่าเดวี่เป็นเด็กที่เรียนเก่ง04 ธรรมเนียมปฎิบัติของอินเดีย ในเรื่องครอบครัวของเดวี่ที่อาศัยอยู่กับแม่และลูกพี่ลูกน้องของเธอ ที่กำลังเรียนปริญญาเอก มหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่ต้องถูกคลุมถุงชนที่ครอบครัวเลือกให้ เธอพยายามหาทางออกว่าคู่ครองเป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง แน่นอนว่าจะต้องปัญหากับครอบครัวอย่างแน่นอนหรือให้เป็นหน้าที่ของครอบครัวจะดีกว่า05 ความเจ็บปวดของวัยรุ่นผ่านตัวละคร ประเด็น LGBTQ ผ่าน ฟาร์บิโอล่า เพื่อนสาวชาวเม็กซิกัน ที่ต้องยอมรับความเป็นตัวเองและทำอย่างไรให้ครอบครัวได้รับรู้ ประเด็นความขัดแย้งระหว่างครอบครัวผ่าน อีลีเนอร์ หว่อง ที่แม่ยังไล่ล่าความฝัน ซึ่งการทำเช่นนี้ย่อมทำให้เธอห่างจากลูกไปเรื่อย ๆ จนลูกที่เคยเห็นว่าแม่เป็นไอดอล ไม่คิดเช่นนั้นอีกต่อไป ประเด็นพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูกผ่าน เบน เพื่อนคู่ปรับกับเดวี่ทางการศึกษา ทำให้เห็นว่าจิตใจของเด็กที่พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ ภายในใจเขาเป็นเช่นไร06 มุมมองด้านความรัก เราได้เห็นความรักในวัยรุ่นที่เป็นทั้งแรงบันดาลใจ ความโรแมนติก หรือความรักแบบเพื่อนที่เดวี่ต้องตัดสินใจว่าเธอจะนิยามความรักแบบใด และมอบความรักให้ใครระหว่าง เบน ที่เปลี่ยนจากคู่ปรับมาเป็นคนที่เข้าใจหรือ แพ็กตั้น หนุ่มหล่อในฝันที่มอบปาฏิหาริย์ในชีวิต07 แม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้ที่ไม่ค่อยลงรอยกับลูก เราจะได้เห็นประเด็นครอบครัวที่แม่ของเดวี่ ที่ควยควบคุม ไม่ให้อิสระกับลูกเป็นเพราะเธอรักลูกน้อย หรือรักตามแบบฉบับของคุณแม่สไตล์เอเชียกันแน่08 วันสำคัญทางศาสนาฮินดูก็คือวันรวมญาติแบบเอเชีย การอนุญาตให้บรรดาญาติ ๆ เข้ามาติฉินนินทา โอ้อวดลูกหลานอย่างเปิดเผย ในมุมนี้ใคร ๆ ที่ดูก็น่าจะเชื่อมโยงกับประเทศไทยที่มีวัฒนธรรมการรวมญาติคล้าย ๆ กัน09 ใครที่ชื่นชอบ จอห์น แม็คเอนโร นักเทนนิสชายชาวอเมริกัน อดีตมือวางอันดับหนึ่งของโลก ที่พากย์ดำเนินเรื่องให้เนื้อเรื่องกลมกล่อมเพราะอุปนิสัยที่คล้ายกับ "เดวี่" ที่อารมณ์ร้อน พอ ๆ กัน ในภาคแรก แม็คเอนโร ได้ปรากฎตัวด้วยแต่ไม่บอกหรอกว่าตอนไหนต้องไปหาดูกันเอง10 เราจะผ่านมันไปด้วยกัน Coming of Age บทสรุปในซีซั่น 1 ทำให้ตัวละครทุกคนเติบโตขึ้น ผ่านครั้งแรก... ในหลาย ๆ อย่างที่ชวนให้ย้อมมองที่ชีวิตของเรา ในวัยเดียวกันนี้ เรามีมีหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นเหมือนกับเด็กวัยรุ่นในเรื่อง เพื่อน ๆ สามารถรับชม Never Have I Ever ได้ที่ Netflix ซึ่งในปัจจุบันสามารถรับชม Netflix ผ่านทางกล่อง True ID TV ได้แล้ววันนี้ อย่าพลาดที่รับชมเชียวล่ะ หลังดูจบแล้วก็คงอยากดูซีซั่นต่อไปอย่างแน่นอน ซีรีส์ภาคต่ออาจจะเล่นประเด็นของแพ็กตั้น หนุ่มหล่อลูกเสี้ยวญี่ปุ่น ต้องติดตามชมไปด้วยกันนะ ภาพหน้าปกและภาพประกอบจาก Never Have I Ever | Official Trailer | Netflix
แมวน้อยด้อยปัญญา • 4 มิ.ย. 63
อ่าน
Lets Go Surfing
หากพูดถึงกีฬาชนิดนี้ คงไม่เป็นที่รู้จักในกลุ่มคนไทยมากนัก แต่หากเป็นกลุ่มต่างชาติแล้ว ถือว่าได้รับความนิยมมาเป็นเวลานาน กลุ่มคนไทยเพิ่งเริ่มสนใจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยความคิดที่ว่า ทะเลบ้านเรา จะเล่นเซิร์ฟได้เหรอ ถูกต้องแล้วค่ะ วันนี้จะพาทุกคนมารู้จักกีฬาที่กลายเป็นที่ยอดฮิต ณ เวลานี้ ด้วยการเล่น Surfboard (เซิร์ฟบอร์ด) นั่นเอง Surfboard (เซิร์ฟบอร์ด) เป็นกีฬาการเล่นกระดานโต้คลื่น ซึ่งมีอุปกรณ์การเล่น ดังนี้ 1. Surfboard แบ่งได้ 3 ขนาด * Shortboard ขนาด 5-7 ฟุต ปลายบอร์ดแหลม มีความเร็ว และคล่องตัว *Funboard ขนาด 7-8 ฟุต เหมาะสำหรับมือใหม่ ทรงตัวง่าย *Longboard ขนาด 9 ฟุต อัตราความเร็วจะน้อยกว่า แต่จะสามารถทรงตัวได้ดี ออกลีลาได้เต็มที่ 2. Leash สายรัดข้อเท้า จะยึดติดกับข้อเท้าผู้เล่นและตัวบอร์ด (กรณีตกจากบอร์ด ตัวนี้จะช่วยพยุงตัวเราและไม่ให้หลุดจากตัวบอร์ด ช่วยให้ปลอดภัยระดับหนึ่ง) 3. Fin เป็นหางเสือปลายบอร์ด ใช้งานคล้ายๆ เรือค่ะ ไว้บังคับทิศทาง 4. Wax ลักษณะคล้ายๆ สบู่ ไว้สำหรับขัดบอร์ดกันลื่นค่ะ สำหรับการแต่งกาย แนะนำเป็นเสื้อ Rash Shirt ที่ช่วยป้องกันแสงรังสียูวี และกางเกง Boardshorts ที่ช่วยให้มีความยืดหยุ่นและแห้งเร็ว ที่เหลือก็แค่กายพร้อม ใจพร้อม ก็ลุยได้ค่ะ วันนี้จะพาทุกคนไปเรียนเล่นเซิร์ฟกับ Pakarang Surf School หาดเขาหลัก จังหวัดพังงา ที่นี่มีสอนตั้งแต่ระดับพื้นฐานเลยค่ะ สำหรับมือใหม่หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า Beginner Surfers จะเริ่มต้นเรียนรู้การทรงตัวกันก่อนค่ะ โดยเซิร์ฟบอร์ดที่ใช้ จะเป็นตัว Longboard ประมาณ 9 ฟุต ความเร็วกลางๆ แต่จะช่วยในเรื่องการทรงตัวได้ดีค่ะ สำหรับการเล่นนั้น จำเป็นต้องรู้คำศัพท์พื้นฐาน 4 ข้อ ดังนี้ 1. Paddle out เป็นท่าแรกที่เรานอนขนานกับบอร์ด คล้ายท่าวิดพื้น ใช้มือสองข้างพายออกไปยังท้องทะเล 2. Line up คือจุดที่คลื่นจะแตกตัว ที่เราสามารถจะเล่นเซิร์ฟได้ ใช้วิธีสังเกตุทิศทางของคลื่นค่ะ 3. Take off เมื่อเราได้คลื่นที่จะเล่นแล้ว ก็ออกตัวเข้าไปในคลื่นค่ะ 4. Stand up ลุกขึ้นยืนค่ะ เป็นการทรงตัวบนบอร์ดให้ได้ โดยตั้งขาให้ขนานกัน ถ่ายเทน้ำหนัก เพื่อกำหนดทิศทาง เป็นกีฬาที่น่าตื่นเต้นและท้าทายชนิดหนึ่งได้เลย แค่นั้นยังไม่พอนะคะ ความลับของกีฬาชนิดนี้ หากยอมทนร้อนได้ นอกจากจะได้ผิวแทนเก๋ๆ แล้ว ยังสามารถเบิร์นไขมันได้ทุกส่วน แค่เล่นเซิร์ฟอย่างเดียว หุ่นก็จะเป๊ะเว่อร์วัง เช่นเดียวกับการคาดิโอและเวทไปเลยค่ะ หาดที่เหมาะกับการเซิร์ฟในไทย จังหวัดภูเก็ต : หาดกะตะ หาดป่าตอง หาดกะหลิม หาดกมลา จังหวัดพังงา : หาดเขาหลัก ใครชอบทะเล ไม่ควรพลาดกีฬาชนิดนี้นะคะ ลองเล่นดู อาจจะติดใจก็ได้ค่ะ หรือถ้าหากใครสนใจ ลองแวะไปเรียนที่ Pakarang Surf School กันได้นะคะ คุณครูใจดีทุกคนค่ะ ขอบคุณภาพจาก Pakarang Surf School Ripcurl Thailand สวัสดีท่านผู้อ่านทุกคนค่ะ 😊
A.Ann • 10 ธ.ค. 62
อ่าน
รู้จัก 8 นักแสดง ซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย
และแล้วก็เดินทางมาถึง Season4 ซึ่งถือว่าเป็น Season สุดท้ายแล้วสำหรับซีรีส์ original ของทาง Netflix อย่าง “Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย” ที่เป็นการบอกเล่าของวัยรุ่นชาวอินเดียอย่าง เดวี่ ที่ในแต่ละวันของเธอนั้นมีเรื่องวุ่นวายอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว ความสัมพันธ์กับเพื่อน หรือเรื่องราวของความรักของเธอนอกจากพล็อตเรื่องจะสนุกเฮฮาไม่เครียดแล้วนั้น ก็ยังได้เหล่านักแสดงมากฝีมือในเรื่องอีกด้วย วันนี้เราเลยอยากจะชวนเพื่อน ๆ มาทำความรู้จักกับนักแสดงในเรื่องนี้กันผ่านทาง ‘รู้จัก 8 นักแสดง ซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย’ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย (Never Have I Ever) ซีซั่นสุดท้าย | ตัวอย่างอย่างเป็นทางการ | Netflixhttps://youtu.be/RJljOsqFqvIhttps://www.instagram.com/p/Cs1iGrZJy1w/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==https://www.instagram.com/p/CsBpqOWNdhy/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==1.) ไมท์เรยิ รามากริชนาน (Maitreyi Ramakrishnan) นางเอกในซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย มีชื่อว่า “ไมท์เรยิ รามากริชนาน (Maitreyi Ramakrishnan)” เธอเกิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ2001 ปัจจุบันอายุ 21 ปี เธอนั้นเกิดและเติบโตในเมือง Mississauga, Ontario ประเทศแคนาดา สัญชาติแคนาดา ในพาร์ทของการศึกษา York University ในสาขาการละครhttps://www.instagram.com/p/CtcPzMQO407/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ไมท์เรยิ รามากริชนาน รับบท เดวี่ วิชวากุมาร โดยในซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย สาวไมท์เรยิ รามากริชนาน แสดงในบทบาทของ “เดวี่ วิชวากุมาร (Devi Vishwakumar)” ซึ่งเป็นนางเอกหรือตัวเองของเรื่อง เธอนั้นเป็นสาวสวยชาวอินเดียที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 6 และกำลังเข้ามหาลัยในอีกไม่ช้า เธอเป็นเด็กเนิร์ด เรียนเก่ง และเป็นคู่แข่งและคู่กัดตีคู่กันกับเบนในเรื่องของการเรียนเสมอ มีนิสัยเฮฮา ทะเล้น แต่จะเป็นคนที่พูดมากพูดเยอะเวลาตื่นเต้น ทำให้ในหลาย ๆ ครั้งเธอทำทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี ซึ่งเรียกว่าสาวไมท์เรยิแสดงออกมาได้ดีเยี่ยมมาก เหมือนเธอแสดงเป็นเดวี่จริง ๆ ดึงและคีพคาแรคเตอร์ได้ปังมาก ชอบตอนเดวี่คลั่งรัก ดูแล้วแบบอินสุดอะไรสุดจริง ๆ ค่ะ เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่การันตีว่าเพื่อน ๆ จะต้องหลงรักแน่นอนhttps://www.instagram.com/p/CsRfsrNJV8N/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==https://www.instagram.com/p/CtKJZFcJpPz/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==https://www.instagram.com/p/CtSE57GPOxs/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ช่องทางการติดตามไมท์เรยิ รามากริชนานInstagram : @maitreyiramakrishnan2.) จาเรน เลวิสัน (Jaren Lewison) นักแสดงคนต่อมาในเรื่องนี้ก็คือหนุ่ม “จาเรน เลวิสัน (Jaren Lewison)” เขาเกิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ 2000 เกิดและเติบโตที่เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส จบการศึกษาจากวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย ด้วยปริญญาตรีสาขาจิตวิทยา พร้อมวิชาโทด้านนิติวิทยาศาสตร์และอาชญวิทยา โดยเขาเคยเป็นนักแสดงเด็กที่แสดงในละครเรื่อง Barney Friends และบทบาทที่โดดเด่นที่สุดของเขาคือ Lang Fisher และ Mindy Kaling และซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever ทาง Netflixhttps://www.instagram.com/p/Cikw9wDpHs1/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==จาเรน เลวิสัน รับบท เบ็น กรอส โดยในซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย หนุ่มจาเรนแสดงเป็น “เบ็น กรอส (Ben Gross)” เป็นหนุ่มเนิร์ดเรียนเก่งที่เป็นคู่ปรับกับเดวี่ แต่แล้วพวกเขาทั้งสองก็ดันตกหลุมรักกันและกันแบบงง ๆ ซึ่งเบ็นเป็นคนที่รวย เพอร์เฟค เกิดมาในกองเงินกองทอง เป็นคนที่ค่อนข้างปากเก่ง ชอบเอาชนะทำให้บางครั้งเขาเผลอขิงและดูถูกคนอื่นแต่ลึก ๆ แล้วเขาเป็นคนที่มีจิตใจดี อีกทั้งเขายังเป็นหนุ่มที่ Perfectionist พอตัวเลย ซึ่งหนุ่มจาเรนก็แสดงในบทบาทของเบ็นได้ดีมาก มีความเป็นเบ็นจริง ๆ แสดงอินเนอร์ผ่านสีหน้า แววตา และท่าทางได้ดีมาก จนบางครั้งทางเราดูไปก็หมั่นไส้ไปเลยละค่ะ ฮ่า ๆ https://www.instagram.com/p/Cs9kWFmviF9/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==https://www.instagram.com/p/Ch2d0Lpsyf-/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ช่องทางการติดตามจาเรน เลวิสันInstagram : @jarenlewison3.) ดาร์เรน บาร์เน็ต (Darren Barnet) หนุ่มฮอตในเรื่อง Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย ที่บอกเลยว่าใครต่อใครเป็นต้องหลง!♥️หนุ่มคนนั้นคือ “ดาร์เรน บาร์เน็ต (Darren Barnet)” เขาเกิดเมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ.1991 ในลอสแองเจลิส โดยเขานั้นแสดงละครและภาพยนตร์สั้นตั้งแต่อายุได้ 5 ขวบ และในปี 2018 หนุ่มดาร์เรน รับบทบาท เป็นฮอต เซธในซีรีส์เรื่อง Turnt แลเได้แสดงตัวประกอบในภาพยนตร์โทรทัศน์ Lifetime Instakiller ซึ่งเป็นการเปิดตัวในพาร์ทของการแสดงภาพยนตร์ของเขาเลยhttps://www.instagram.com/p/CidQFGZOyPC/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ดาร์เรน บาร์เน็ต รับบท แพ็กซ์ตัน ฮอลล์-โยชิดะ หนุ่มดาร์เรน บาร์เน็ต รับบทบาทเป็น “แพ็กซ์ตัน ฮอลล์-โยชิดะ (Paxton Hall-Yoshida)” โดยเขานั้นเป็นหนุ่มหล่อสุดฮอตประจำโรงเรียนที่สาวมๆ ทุกคนต่างชื่นชอบ โดยใน Season4 นั้นเขาก็ได้ขึ้นมหาวิทยาลัยที่ ASU แต่แล้วก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นกับเขา ทำให้เขาจะต้องกลับมาอยู่ที่เดิม!? โดยแพ็กซ์ตันนั้นเป็นเหมือนรักแรกของเดวี่เลย เป็นหนุ่มที่เดวี่ไฝ่ฝันอยากเป็นแฟนกับเขามาก ๆ แพ็กซ์ตันเป็นคนที่มีนิสัยดี เป็นหนุ่มสายชิล แอบมีความเจ้าชู้ไม่ใช่เล่น เขาเป็นคนที่รักครอบครัว รักเพื่อนมาก ซึ่งหนุ่มดาร์เรนนั้นเรียกว่าฟิตติ้งกับบทบาทที่ได้รับเป็นอย่างมาก เป็นหนุ่มที่หล่อ นัยต์ตาสวยมีเสน่ห์ หุ่นคือแซ่บเบอร์สิบมาก เป็นหนึ่งบทบาทที่ชวนหวีดมากค่า https://www.instagram.com/p/CsrX9eHPZnx/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==https://www.instagram.com/p/CrAFg7DLACx/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ช่องทางการติดตามดาร์เรน บาร์เน็ตInstagram : @darrenbarnet4.) ไมเคิล ซิมิโน (Michael Cimino) หนุ่มหล่อคนต่อมา เป็นหนุ่มที่เรียกว่ามาใหม่ใน Season เป็นหนึ่งในตัวละคนที่หล่อเท่กร้าวใจมาก นั่นคือหนุ่ม“ไมเคิล ซิมิโน (Michael Cimino)” เขาเกิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ1999 ปัจจุบันอายุ 23 ปี ที่ลาสเวกัส รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา โดยหนุ่มไมเคิล ซิมิโนเป็นหนุ่มที่หลายคนรู้จักเขาในบทบาทของ Bob Palmeri จากเรื่อง Annabelle Comes Home และ Victor Salazar ใน Hulu series Love, Victorhttps://www.instagram.com/p/CTniAeKvcBB/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ไมเคิล ซิมิโน รับบท อีธาน โมราเลส โดยในซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย หนุ่มไมเคิล ซิมิโน แสดงเป็น “อีธาน โมราเลส (Ethan Morales)” โดยเขานั้นเป็นเด็กชั้นมัธยมปีที่ 5 เป็นรุ่นน้องในโรงเรียนที่หล่อคมเข้ม แถมฮอตสาวกรี๊ดมาก แต่เขาเป็นคนที่นิสัยไม่ดี เกเร แถมยังมีความเป็นตัวของตัวเองสูง เจ้าชู้มาก แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาและเดวี่เกิดปิ๊งกันเรื่องราววุ่น ๆ ครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ก็ต้องไปติดตามรับชมค่า ซึ่งเป็นคาแรคเตอร์ใหม่ในเรื่องนี้ แต่บอกเลยว่าเป็นบทบาทที่มีเสน่ห์จนแฟนคลับของซีรีส์เรื่องนี้คือหวีดมาก หนุ่มไมเคิลแสดงคาแรคเตอร์ของอีธานออกมาได้ดี ดูแบดถึงใจ ดูแล้วหลงรักตามเลย😍 แถมขอสปอยด์เลยว่าหนุ่มไมเคิลหนุ่มแซ่บมากแม่!! https://www.instagram.com/p/CtPLgTUJ3xs/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ช่องทางการติดตามไมเคิล ซิมิโนInstagram : @itsmichaelcimino5.) ราโมน่า ยัง (Ramona Young) นักแสดงคนต่อมาในซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever นั่นคือสาวสวยหน้าเฉี่ยวที่บอกเลยว่าเฟี๊ยซตัวแม่มาก เธอคนนั้นก็คือ “ราโมน่า ยัง (Ramona Young)” เกิดวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ.1995 ปัจจุบันอายุ 25 ปี จริง ๆ แล้วเธอเป็นคนฮ่องกง และได้มาใช้ชีวิตที่สหรัฐอเมริกา เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียลอสแองเจลิส และได้ศึกษาการแสดงที่ Playhouse West โดยเธอนั้นได้ปรากฏตัวครั้งแรกในตอนของซิทคอม ABC เรื่องสั้นเรื่อง Super Fun Night ในปี 2014 อีกทั้งเธอยังมีความสนใจและความสามารถในด้านการเขียนบท และการกำกับอีกด้วย เรียกได้ว่าสวยเก่งไม่เกินจริงhttps://www.instagram.com/p/ClG7sw4J4Rv/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ราโมน่า ยัง รับบท เอเลนอร์ หว่อง โดยในซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever สาวราโมน่า ยัง รับบทเป็น “เอเลนอร์ หว่อง” เป็นหนึ่งในเพื่อนซี้ของเดวี่ โดยเธอนั้นเป็นชาวเกาหลีที่เรียกว่าแฟชั่นนิสต้ามาก เป็นคนที่มีนิสัยร่าเริง Alert เป็นคนที่เฮฮา และเป็นพลังบวกของเพื่อน ๆ อยู่เสมอเลย เอเลนอร์ยังมีความฝันอยากเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดังในฮอลลีวูดอีกด้วย เรียกว่าเป็นหนึ่งตัวละครที่น่ารัก ช่วยสร้างสีสันและความสนุกให้กับเรื่องราวเป็นอย่างมาก โดยสาวราโมน่านั้นพรีเซ้นท์ออกมาได้ดีมาก ชอบการแต่งตัวของเธอในแต่ละซีนมาก โดดเด่นคัลเลอร์ฟูลสุดแม่ ♥️https://www.instagram.com/p/CsyxK7nOMu5/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==https://www.instagram.com/p/Cq-5gxYL_bM/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ช่องทางการติดตามราโมน่า ยังInstagram : @ramonabishyoung6.) ลี โรดริเกซ (Lee Rodriguez) มาต่อกันที่นักแสดงคนต่อมาในซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever นั่นคือ สาวเท่สุดปังอย่าง “ลี โรดริเกซ (Lee Rodriguez)” เธอเกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ.1999 ปัจจุบันอายุ 23 ปี ในเมืองเฟรสโน รัฐแคลิฟอร์เนีย การแสดงครั้งแรกของเธอคือ บทบาทของ Bea ในซีรีส์เรื่อง Class of Lies ในปี 2018 และในปีเดียวกันนั้น เธอก็ได้แสดงในเรื่อง Grown-ish และปี 2020 กับซีรีส์ทาง Netflix อย่าง Never Have I Ever https://www.instagram.com/p/CtAOnCwSwPI/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ลี โรดริเกซ รับบท ฟาบิโอล่า ตอร์เรส ในซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever สาวลี โรดริเกซ รับบทเป็น “ฟาบิโอล่า ตอร์เรส (Fabiola aka Fab)” หรือจะเรียกเธอสั้น ๆ ว่า Fab (แฟ้บ) โดยเธอก็เป็นเพื่อนรักเพื่อนที่ดีของเดวี่ เป็นคนที่ซัพพอร์ตและใจดีกับเพื่อนมาก อีกทั้แฟ้บยังเป็นคนที่ฉลาด รักความถูกต้อง รักเพื่อน และเธอก็มีทักษะด้านการสร้างหุ่นยนต์ เป็นหัวหน้าชมรมหุ่นยนตร์เลย และแฟ้บก็เป็น LGBTQ อีกด้วย เรียกว่าเธอนั้นเป็นอีกหนึ่งคาแรคเตอร์ที่น่ารัก เป็นคนที่มีความอบอุ่นใจมาก ซึ่งสาวแซ่บอย่างลี โรดริเกซ สลัดภาพสาวเซ็กซี่สาวแซ่บออกมาอย่างสิ้นเชิง แสดงออกมาได้ดีมาก ชอบวิธีการพูด การมองของเธอ ทำให้คนดูอินและหลงรักตัวละครนี้ไปแบบเต็มเปา!😍👏🏻https://www.instagram.com/p/CsZgJvNvLPW/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ช่องทางการติดตามลี โรดริเกซInstagram : @leerodriguez7.) วิคตอเรีย มอโรลส์ (Victoria Moroles) นักแสดงสางสวยในซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย นั่วคือสาวหน้าเก๋อย่าง “วิคตอเรีย มอโรลส์” เกิดเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1996 ปัจจุบันอายุ 26 ปี ที่ Corpus Christi, Texas ส่วนสูง 170 เซนติเมตร โดยเธอนั้นเปิดตัวครั้งแรกในปี 2014 ในภาพยนตร์ต้นฉบับของดิสนีย์แชนแนลเรื่อง Cloud 9 และต่อมาเธอก็มีผลงานออกมาอีกมากมทย ไม่ว่าจะเป็น Liv and Maddie , Teen Wolf , Down a Dark Hall ถือว่าเธอนั้นเป็นนักแสดงเด็กที่เก่งและมีความสามารถมากจริง ๆ ค่ะhttps://www.instagram.com/p/CRmlunysRk9/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==วิคตอเรีย มอโรลส์ รับบท มาร์โกต์ โดยในซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever สาววิคตอเรีย มอโรลส์ รับบทเป็น “มาร์โกต์ (Margot)” ซึ่งเธอนั้นเป็นแฟนสาวคนใหม่ของเบน ซึ่งเธอนั้นเป็นสาวสวยที่เรียกว่าค่อนข้างมีความเป็นตัวของตัวเอง ดูแรง ๆ แต่จริงใจ ตรงไปตรงมา เธอนั้นชื่นชอบเกี่ยวกับพวกงานศิลป์มาก อีกทั้งเธอยังเป็นคู่ปรับของเดวี่อีกด้วย ซึ่งสาววิคตอเรียก็แสดงคาแรคเตอร์ของมาร์โกต์ออกมาได้เป็นอย่างดีมาก อินเนอร์อินใจคือมาเต็มมากช่องทางการติดตามวิคตอเรีย มอโรลส์Instagram : @victoriamoroles8.) เบนจามิน นอร์ริส (Benjamin Norris) เดินทางมาถึงหนุ่มหล่อคนสุดท้ายท้ายสุดในซีรีส์ Never Have I Ever นั่นคือหนุ่ม “เบนจามิน นอร์ริส” เขาเกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม โดยเกิดในไวต์เพลนส์ นิวยอร์ก โดยเขานั้นเปิดตัวในฐานะของนักแสดงในภาพยนตร์สั้นเรื่อง Mens Rea ในปี 2010 ซึ่งถือว่าเป็นหนุ่มหล่อมาดเท่ที่มีคาแรคเตอร์โดดเด่นมากเลยละค่ะ ^^https://www.instagram.com/p/ChxVPQsJdBH/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==เบนจามิน นอร์ริส รับบท เทรนต์ โดยเบนจามินรับบทบาทเป็น “เทรนต์ (Trent)” เป็นเพื่อนซี้เบสเฟรนของแพ็กซ์ตัน เป็นหนุ่มที่มีความเกเร ชิล ๆ และยังไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือ ทำให้เขาซ้ำชั้นมัธยมปีที่ 6 ไม่ได้ขึ้นในมหาลัย สิ่งนี้ทำให้เขาเสียใจเป็นอย่างมาก โดยหนุ่มเบนจามิน นอร์ริสนั้นแสดงออกมาได้ดีมาก คาแรคเตอร์คือโดดเด่น มีความชิลทะเล้นที่ฮามาก เป็นอีกหนึ่งบทบาทสมทบในเรื่องที่สร้างสีสันมากค่ะ🫶🏻ช่องทางการติดตามเบนจามิน นอร์ริสInstagram : @benanorrisก็จบลงไปแล้วนะคะสำหรับ รู้จัก 8 นักแสดง ซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย ต้องบอกเลยว่านักแสดงแต่ละคนในเรื่องนั้นล้วนแล้วแต่มีความน่ารัก คาแรคเตอร์โดดเด่นมาก แถมยังแสดงออกมาได้ดี มีความธรรมชาติ โบ๊ะบ๊ะแบบสุด! ทำให้เรื่องราวสนุกสนานและคนดูอินตามเลยละค่ะ และสุดท้ายนี้เพื่อน ๆ สามารถติดตามซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย ทั้ง Season 1-4 ได้แล้ววันนี้ทาง Netflix ค่า ^^เครดิตภาพหน้าปกโดย@neverhaveiever : ภาพหน้าปก1 / ภาพหน้าปก2 / ภาพหน้าปก3 / ภาพหน้าปก4 / ภาพหน้าปก5 / ภาพหน้าปก6 / ภาพหน้าปก7 / @benanorris : ภาพหน้าปก8 เครดิตภาพประกอบบทความโดย@neverhaveiever : ภาพที่1 / ภาพที่2 / ภาพที่4 / ภาพที่5 / ภาพที่6 / ภาพที่8 / ภาพที่9 / ภาพที่11 / ภาพที่17 / ภาพที่20@maitreyiramakrishnan : ภาพที่3 @jarenlewison : ภาพที่7 @darrenbarnet : ภาพที่10 / / ภาพที่12@itsmichaelcimino : ภาพที่13 / ภาพที่14 @neverhaveiever : ภาพที่15 / ภาพที่21 / ภาพที่23 / ภาพที่25@ramonabishyoung : ภาพที่16 / ภาพที่18 @leerodriguez : ภาพที่19 @victoriamoroles : ภาพที่22 @benanorris : ภาพที่24 เครดิตวิดีโอประกอบบทความโดย Netflix Thailandภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย (Never Have I Ever) ซีซั่นสุดท้าย | ตัวอย่างอย่างเป็นทางการ | Netflixบทความที่น่าสนใจ : https://intrend.trueid.net/post/308026จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !
nowadays girl☀︎︎ • 19 มิ.ย. 66
อ่าน
Let Me In Thailand
Let Me In Thailand ศัลยกรรมพลิกชีวิต ออกอากาศทุกวันเสาร์ 20.15-21.15 น. ทางช่องเวิร์คพอยท์ หมายเลข 23 รวบรวมคลิปจาก Youtube : WorkpointOfficial
เรื่องย่อละคร • 18 ม.ค. 59
อ่าน
Now or Never! Warrix เปิดตัวชุดแข่งใหม่ทีมชาติไทย ลุยศึก เอเชียน คัพ 2019
วอริกซ์ แบรนด์กีฬาชื่อดังเปิดตัวเสื้อทัพช้างศึกที่จะใช้ในปี 2019 ภายใต้คอนเซ็ป “Now or Never” ประเดิมสู้ศึกเอเชียนคัพที่ยูเออี เมื่อวันอังคารที่ 18 ธันวาคม 2561 ณ สเตเดียม วัน บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด ผู้ถือสิทธิ์การออกแบบ การผลิต และการจัดจำหน่ายชุดแข่งขันและเครื่องแต่งกายนักเตะทีมชาติไทย เปิดตัวชุดแข่งขันฟุตบอลทีมชาติไทยประจำปี 2019 ที่มาในคอนเซ็ปต์ “Now or Never” ปลุกพลังนักเตะและแฟนบอลทีมชาติไทยเตรียมพร้อมสู้ศึกใหญ่แห่งเอเชีย เอเอฟซี เอเชียน คัพ 2019 ศึกแรกแห่งศักราชใหม่ โดยสร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการเลือกใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุดในโลก นำมาออกแบบและผลิตชุดแข่งขันที่ดีที่สุดเท่าที่เคยทำมาเพื่อนักเตะทีมชาติไทย ภายในงานได้รับเกียรติจาก พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมตัวแทนนักฟุตบอลทีมชาติไทย นำโดย ฉัตรชัย บุครพรม, เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, สิโรจน์ ฉัตรทอง และธนาสิทธิ์ ศิริผลา รวมทั้งนักฟุตซอลทีมชาติไทย นำโดย คฑาวุธ หาญคำภา และปาณัสม์ กิตติภาณุวงศ์ ร่วมด้วย “เวย์-ไทเทเนี่ยม” มาร่วมสร้างปรากฏการณ์เปิดตัวเพลง Now or Never เรียกพลังใจพลังเชียร์จากคนไทยทั่วประเทศ โดยวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะผู้ถือสิทธิ์การออกแบบ การผลิต และการจัดจำหน่ายชุดแข่งขันและเครื่องแต่งกายฟุตบอลทีมชาติไทย วอริกซ์มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำภารกิจสำคัญนี้ และขอเดินหน้าแสดงพลังศรัทธาในฟุตบอลทีมชาติไทย เปิดตัวชุดแข่งใหม่ปี 2019 ในคอนเซ็ปต์ “Now or Never” ที่เป็นเหมือนกับการประกาศพลังศรัทธาของพวกเราคนไทยว่าเราจะไม่ยอมล้มตลอดไป แต่จะลุกขึ้นสู้ใหม่ไปด้วยกัน โดยชุดแข่งใหม่ปี 2019 จะถูกใช้ครั้งแรกโดยนักเตะทีมชาติไทยชุดใหญ่ในการแข่งขันรายการสำคัญระดับเอเชียซึ่งกำลังจะฟาดแข้งกันต้นเดือนมกราคม ปี 2019” “วอริกซ์มุ่งมั่นขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งส่งพลังให้ทัพนักเตะไทย จึงได้ตัดสินใจสร้างปรากฏการณ์ชุดแข่งขันที่ดีที่สุดเพื่อนักฟุตบอลทีมชาติไทย โดยเป็นครั้งแรกที่ชุดแข่งขันของทีมชาติไทยเลือกใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุดในโลก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกันกับชุดแข่งขันของทีมฟุตบอลทีมชาติที่ดีที่สุดของโลก และทีมฟุตบอลระดับสโมสรชั้นนำของโลกหลายทีม รวมทั้งการเลือกใช้เฟล็กซ์ (flex) บนชุดแข่งขันก็เป็นเฟล็กซ์ที่มีมาตรฐานเดียวกับชุดแข่งขันทีมชาติระดับโลกเช่นเดียวกัน ผนวกเข้ากับดีไซน์ที่โดดเด่นมากขึ้น ทั้งรูปลักษณ์และสอดรับกับสรีระของนักฟุตบอลมากขึ้นกว่าเดิม เพิ่มความรู้สึกกระชับและคล่องตัวสูงสุดขณะลงแข่งขัน โดยชุดแข่งขันฟุตบอลทีมชาติไทยปี 2019 มีชื่อชุดว่า Changsuek The First Eleven (ช้างศึก เดอะ เฟิร์ส อีเลฟเว่น) สื่อถึง 11 ผู้เล่นตัวจริงที่ดีที่สุด ที่กำลังลงสนามไปปฏิบัติภารกิจสำคัญเพื่อชาติ และเพื่อความสุขของคนไทยทั้งประเทศ” ทั้งนี้ การออกแบบลวดลายของชุด “Changsuek The First Eleven” มีแรงบันดาลใจจาก “The Time Space Lighting” หรือเส้นแสงแห่งการพุ่งทะยานผ่านกาลเวลา จากแนวคิดที่ว่า การจะทำสิ่งใดให้สำเร็จ เราจำเป็นต้องเดินทางก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งผู้คนมักจะแสวงหาแสงแห่งพลังที่จะจุดไฟแห่งความหวังและความฝัน ให้ลุกโชนขึ้นมา สร้างสรรค์พลังให้ลุกขึ้นสู้ เพื่อก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ ก่อเกิดเป็นลายเส้นแสงบนเนื้อผ้าคล้ายกับแสงไฟในสีสันที่โดดเด่นด้วยระบบพิมพ์ดิจิทัลขั้นสูง โดยใช้กระบวนการซับลิเมชั่นในการพิมพ์ไล่เฉดเพื่อสร้างลวดลายที่มีมิติเสมือนแสงไฟ ราวกับแสงแห่งห้วงอวกาศและกาลเวลาที่มุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดนิ่ง และนี่คือแสงแห่งการลุกขึ้นสู้เพื่อไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริง นายใหญ่วอริกซ์กล่าวต่ออีกว่า “ชุดแข่งขัน Changsuek The First Eleven สรรค์สร้างขึ้นโดยคำนึงถึงการใช้งานของนักเตะเป็นสำคัญ นอกจากจะเลือกนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดของโลกเช่นเดียวกับสโมสรชั้นนำของโลกมาใช้ในการผลิตแล้ว วอริกซ์ยังเลือกใช้เนื้อผ้าโพลิเอสเตอร์ผสมเส้นใยสแปนเด็กซ์ ผสานกับนวัตกรรมการตัดเย็บขั้นสูงในทุกรายละเอียด เพื่อทำให้ชุดแข่งขัน Changsuek The First Eleven เป็นชุดแข่งที่ครบถ้วนไปด้วยคุณสมบัติเด่น ทั้งการระบายอากาศและถ่ายเทความร้อนดีเยี่ยม การรักษาสมดุลของอุณหภูมิร่างกาย การดูดซับความชื้น การป้องกันรังสียูวี ช่วยเพิ่มความมั่นใจแก่นักเตะทุกคน เพื่อส่งเสริมให้สามารถโชว์ฟอร์มการเล่นได้อย่างเต็มศักยภาพ” “ส่วนโลโก้เป็นโลโก้ที่สวยงาม น้ำหนักเบา นอกจากนี้ ยังคงเสน่ห์ความสวยงามของงานดีไซน์ที่มีสไตล์ตามแบบฉบับของวอริกซ์ ซึ่งชุดแข่งขันปี 2019 ถือว่ามีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้นในเรื่องของดีไซน์ด้วย โดยออกแบบให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ในแนวมินิมอลที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความเท่ และความคล่องตัว สามารถสวมใส่ได้หลากหลายโอกาสไม่ว่าจะเป็นการใส่ไปออกกำลังกาย หรือใส่ไปทำกิจกรรมอื่นๆ หลากหลายรูปแบบ เรียกได้ว่าเป็นเสื้อที่เหมาะที่จะใส่ได้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด ปิดท้าย สำหรับชุดแข่งขันฟุตบอลทีมชาติไทยปี 2019 จะใช้สีน้ำเงินเป็นชุดแข่งเหย้า สีแดงเป็นชุดแข่งเยือน สีขาวเป็นชุดแข่งที่ 3 ส่วนชุดผู้รักษาประตู ประกอบไปด้วย สีเขียวเข้ม, สีเขียวอ่อน, สีเทา และสีม่วง นอกจากนี้ วอริกซ์ ยังทำชุดแข่งขันออกมาเป็น 3 แบบได้แก่ ชุดแข่งขันสำหรับนักเตะ (1,999 บาท) ชุดแข่งขันสำหรับแฟนบอล (999 บาท) และ เสื้อเชียร์ทีมชาติไทย (399 บาท) เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสามแบบถูกออกแบบให้มีรูปลักษณ์เดียวกัน เพื่อตอกย้ำการรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งนักเตะและแฟนบอลทั่วประเทศ
ทีมชาติไทย • 18 ธ.ค. 61
อ่าน
Let's go to Singapore
บันทึกการท่องเที่ยวทริปเพื่อนสาว 4 คน รวมตัวฉัน เราจะไปบุกสิงคโปร์กัน มาดูกันว่า 4 วัน 3 คืน พวกเราไปไหนกันบ้าง? ต้องบอกก่อนว่าทริปนี้ไปเอง จ่ายเอง บินเอง แพลนต่าง ๆ บางครั้งก็ดูเหมือนจะไม่ตามแพลน555 กินไหน นอนไหน ไปดูกันเลย (ไม่เน้นกินร้านดังเนอะ ) จองช่วงโปรใน traveloka สายการบิน Scoot ไป-กลับ ราคา 3,114฿ (ไปวันพุธกลับวันเสาร์) เราคิดว่าการเดินทางเที่ยวในสิงคโปร์สะดวกมาก ๆ สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เชื่อมกันเกือบหมดเลยสามารถเดินทางได้โดยรถไฟใต้ดิน แค่เราต้องเปลี่ยนสายรถไฟเท่านั้นหรือไปต่อรถเมล์บ้างแนะนำให้ถ่ายรูปแผนที่สถานีสายต่างๆไว้เพื่อสะดวกในการเดินทาง ถ้าไม่แน่ใจไปถูกมั้ยถามเจ้าหน้าที่ตรงสถานีก็ได้ /สำหรับ Sim Card เราซื้อผ่าน Klook ราคา 278 บาท พักที่ Cube Boutique Capsule Hotel จองใน Booking ได้ส่วนลดอีกด้วย 3 คืนราคา 2,146 บาท คืนละ 716 บาท รวมอาหารเช้า เป็นห้องส่วนตัว 4 คน ในห้องเป็นเตียง 2 ชั้น สะดวก ส่วนตัวมีม่านเปิด-ปิด ในตู้มีโคมไฟ กระจกสำหรับแต่งหน้า ปลั๊กสำหรับชาร์จแบต ตู้เซฟ น้ำ 1 ขวด ผ้าเช็ดตัวและแปรงสีฟันที่ ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมส่วนตัวเป็นห้อง ๆ มีแชมพู สบู่และไดร์เป่าผมให้ด้วย สะดวกมาก ๆ แถมยังมีบริการเครื่องซักผ้าพร้อมปั่นแห้งและเตารีดไอน้ำให้ใช้บริการคนละ 2 ชิ้น ฟรีด้วยจ้า Day1 - ห้าง Ion Orchard มีแบรนด์เหมือนกับไทยเลย ราคาต่างกันไม่มาก เดินเพลิน ๆ เข้าร้านนู้นออกร้านนี้ สนใจสุดคือร้าน CharlesKeith ช้อปเพลิน ทั้งกระเป๋าและรองเท้า - มื้อเย็นฝากท้องไว้ที่ย่านไชน่าทาวน์ ลิ้มลองก๋วยเตี๋ยว ถ้าเป็นเกาเหลา 5 เหรียญ ก๋วยเตี๋ยว 6 เหรียญ รสชาติธรรมดาไม่ว้าวเท่าไหร่ Day2 - ย่านลิตเติ้ลอินเดีย แวะไปถ่ายรูปมีตึกสีสวย ๆ ให้ถ่ายรูปเล่น - ต่อไปไปขึ้นรถไฟ Sentosa Express เพื่อข้ามไปเที่ยวเกาะ Sentosa มีทั้งหมด 4 สถานีคือ Sentosa Station,Water front station,Imbaiah Station และBeach Station โดยสถานีต้นทางคือ Sentosa Station อยู่ชั้นบนของห้าง Vivo City - Skyline Luge อยู่สถานี Beach ตอนแรกให้นั่งกระเช้าขึ้นไปก่อนและขาลงขี่รถลง สามารถเล่นตอนกลางคืนได้ด้วยจะมีไฟประดับ บรรยากาศน่าจะดี แดดไม่ร้อน ไม่ต้องกลัวขี่ไม่ได้นะจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลสอนเราบังคับรถก่อนปล่อยเราขี่ลงไป - Universal Studio เอาจริงทั้งวันยังรู้สึกไม่พอ เครื่องเล่นเยอะมากแตกต่างกันไปแต่ละโซน สนุกมาก ๆ ประทับใจจนไม่อยากกลับเลย แนะนำให้เชคเวลาเปิดปิดดี ๆ มื้อกลางวันฝากท้องไว้ที่โซน Jurassic Park เป็นซุ้มขายขนมปังไส้กรอกหน้าต่าง ๆ (ราคาแรงอยู่น้า) - มื้อเย็นก่อนกลับอิ่มท้องที่โซน Food Republic ของห้าง Vivo City อยู่ชั้นเดียวกับสถานีรถไฟ Sentosa มีหลากหลายร้านให้เลือก ทั้งเมนูของคาวและหวาน - แวะไป Clarke Quay เป็นย่านท่าเรือเก่าแก่ที่มีทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ร้านค้าและคลับบาร์ Day3 - เดินเพลิน ๆ ในย่านไชน่าทาวน์ - Gardens by the Bay แนะนำคนที่จะไปไปซื้อตั๋วที่ ร้าน Sea Wheel Travel จะได้ตั๋วราคาถูกจ้า - มื้อกลางวันที่ไชน่าทาวน์ เป็นเหมือนสองร้านในร้านเดียว ชื่อร้าน BAK KUT TEH กับร้าน WEI LI XIANG SEAFOOD - Art Science Museum เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว แต่ละช่วงจะมีธีมงานที่แตกต่างกันของเราไปเป็น อลิซในดินแดนมหัศจรรย์ มีกิจกรรมและปริศนาสนุก ๆให้เล่นด้วย - แวะไปถ่ายรูปที่ Marina Barrage บรรยากาศดีมาก ๆ เป็นจุดชมแลนด์มาร์กของสิงคโปร์เลย (วันนั้นไปมีคนมาถ่ายรูปแต่งงานด้วย) - ตอนแรกตั้งใจจะไปชมน้ำพุแห่งโชคลาภแต่ปิดซะก่อนเลยไปจบที่ Shabu Sai อยู่ใน Suntec City กินได้ 90 นาที คุ้มอยู่น้า จุก ๆ - ซื้อของฝากต้องไปที่ Mustafa Centre เลยนะ เป็นแหล่งช้อปปิ้งของฝากราคาถูกแถมเปิด 24 ชม.ด้วย Day4 - Haji Lane ตรอกแสดงผลงานสตรีทอาร์ต - Jewel Changi Airport แวะชมความสวยงาม เห็นรถไฟวิ่งผ่านด้วย - เติมพลังก่อนกลับที่ Food Court ของ Jewel มีให้เลือกหลายร้าน อาหารหลายประเภท เราจบที่ข้าวมันไก่ก่อนกลับ ปิดทริปสิงคโปร์กับเพื่อนสาว อยากบอกว่าสนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เอาจริง ๆ 4 วัน 3 คืนรู้สึกยังไม่พอเลย อยากเที่ยวอีก มันคุ้มและสนุกมากจริง ๆ แนะนำเลยใครมีเวลาว่างแล้วยังไม่รู้จะไปไหน สิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี สถานที่สวย ๆ ของอร่อย ๆ รอคุณอยู่นะ วางแพลนดี ๆ เก็บเงินจองตั๋วไปโลดดดด เที่ยวง่าย ๆ สบายกระเป๋าตังค์ ทริปนี้ไม่เกิน 15,000 บาท (ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่ท่องเที่ยวที่คุณเลือก ที่พัก การซื้อของฝากและการกินต่าง ๆ ด้วยเนอะ ) ภาพถ่ายโดยผู้เขียนเองค้าบ ♥
minnieworld • 27 ก.พ. 63
อ่าน
Countdown ปีใหม่: Let it go 2019 นับถอยหลังและรับกำลังใจไปกับ 5 บทเพลงสากลความหมายดี
Let it go 2019 นับถอยหลังและรับกำลังใจไปกับ 5 บทเพลงสากลความหมายดีในปี 2019 ที่กำลังจะผ่านไปแล้วนั้น หลาย ๆ คนอาจจะเจอทั้งความสุข เจอทั้งความทุกข์บ้าง ถ้าใครบังเอิญผ่านมาเห็นบทความนี้ และรู้สึกว่าปี 2019 ช่างเป็นปีที่หนักหน่วง และผ่านมาได้อย่างยากลำบาก เราขอแนะนำ Playlist เล็ก ๆ ที่จะให้กำลังใจในการก้าวข้ามผ่านปีเก่า และพร้อมต้อนรับปีใหม่อย่างแข็งแกร่ง เอาเป็นว่าเคาท์ดาวน์ไปกับเพลงเหล่านี้เลยละกัน ไปดูกันเลยว่ามีเพลงอะไรบ้างขอบคุณรูปภาพจาก https://www.pexels.com/photo/black-and-white-piano-keys-2253569/Who You Are – Jessie Jเราน่ารู้ความหมายของคำว่า Who you are อยู่แล้ว ใช่แล้ว แปลว่า เธอคือใคร, คนที่เธอเป็น เพลงนี้ Jessie J ได้ถ่ายทอดออกมาอย่างมีความหมาย ให้พวกเราทุกคนได้จ้องหน้าตัวเองที่กระจก แล้วถามตัวเองอีกครั้งว่า “เราคือใครกันแน่” ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราได้เป็นตัวของเราเองจริง ๆ หรือเปล่า หรือเรากำลังพยายามจะเป็นใครอยู่ ตัวตนของเราถูกเปลี่ยนเพราะอะไร ในเพลงนี้ยังบอกอีกว่าคนเราก็มีสิทธิ์อ่อนแอได้ทั้งนั้น ในประโยคที่ว่า It’s okay not to be okay. มันโอเคที่จะไม่โอเค หรือแปลว่า ถ้ารู้สึกไม่โอเคบ้าง มันก็ไม่เป็นไรหรอก เพลง Who You Are ทำให้เราได้เห็นคุณค่าและความสำคัญของชีวิตตัวเองมากขึ้น เหมาะกับคนที่พยายามกับบางเรื่องแล้วล้มเหลวในปี 2019 วันที่ 31 ธันวาคม ลองอยู่ห้องคนเดียวเงียบ ๆ หลับตา ใส่หูฟัง แล้วเปิดเพลงนี้ฟังดูสิ คุณจะสัมผัสได้ถึงพลัง (แต่ถ้าใครภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงก็สามารถเปิดเนื้ออ่านตามได้ ไม่ต้องหลับตา)คลิกฟังเพลง ที่นี่ขอบคุณรูปภาพจาก https://www.pexels.com/photo/man-kneeling-while-playing-guitar-2231756/นอกจากนี้เพลงที่มีความหมายคล้าย ๆ กัน ที่สื่อถึงคุณค่าในตัวเองก็ยังมีอีกมากมายหลายเพลง เช่น Hero – Mariah Carey, Just the way you are – Bruno Mars, Who Says – Selena GomezStronger - Kelly Clarksonเพลงนี้เปรียบเสมือนยาแดงทาแผลชั้นดี เหมาะสำหรับคนที่ปวดแสบปวดร้อนกับปี 2019 ที่ผ่านมาสุด ๆ ช่วงที่ยาชนิดนี้จะออกฤทธิ์ได้แรงและเห็นผลที่สุดก็น่าจะเป็นท่อนที่ร้องว่า “What doesn’t kill you make you stronger” แปลว่า “สิ่งที่ไม่ได้ฆ่าคุณ จะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น” นั่นหมายความว่าสิ่งที่เจอ มันไม่ถึงตายหรอก แต่มันจะทำให้เราได้เรียนรู้และเป็นคนที่ดีขึ้นนั่นเอง เพลงนี้ยังเป็นเพลงให้กำลังใจคนที่ดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวลำพัง Just me, myself and I ว่าจงเข้มแข็งต่อไป นอกจากนี้ผู้เขียนยังมองว่าเพลงนี้มีเนื้อหาที่ชื่นชมคนที่เจออุปสรรคมาอย่างโชคโชนตลอดทั้งปี แล้วยังผ่านมาได้อย่างสวยงามและสตรองสุด ๆคลิกฟังเพลง ที่นี่ขอบคุณรูปภาพจาก https://www.pexels.com/photo/adult-beautiful-blur-casual-374703/A million Dreams – Ost. The Greatest Showmanจากที่เยียวยาแผลโหด ๆ จากเพลง Stronger แล้ว… เพลง A million Dreams จากภาพยนตร์เรื่อง The Greatest Showman เรียกได้ว่าเป็นโหมดหวาน ๆ เลยก็ว่าได้ เพลงนี้เล่าเรื่องเกี่ยวกับความฝัน และในภาพยนตร์ตัวละครที่ร้องต้นเพลงคือพระเอกในวัยเด็ก และมีเด็กเอาเพลงนี้ไปร้องตามเวทีประกวดต่าง ๆ เยอะมาก ดังนั้นแล้วใครรู้สึกว่าอยากย้อนวัย นึกถึงความฝันที่อยู่ในหัวใจของเรามาโดยตลอด ลองฟังเพลง A million Dreams ดู มันอาจจะช่วยปลุกความฝันให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อทำมันให้เป็นจริงในปี 2020 ก็ได้ (โดยส่วนตัวผู้เขียนแล้ว ฟังเพลงนี้ทีไร น้ำตาไหลตลอดเลย)I close my eyes and I can see a world that waiting up for me that I call my own - ฉันหลับตาลงและฉันมองเห็นโลกที่รอฉันอยู่ โลกที่ฉันเป็นเจ้าของมันได้คลิกฟังเพลง ที่นี่When you believe – Whitney Houston and Mariah Carey เพลงนี้เรียกได้ว่าคลาสสิกมาก ๆ สำหรับการใช้กำลังใจ แถมเป็นการให้กำลังใจแบบ Epic สุด ๆ เพราะดีว่าทั้งสองคนนี้เสียงทรงพลังเหลือเกิน แม้ว่าหนึ่งในนักร้องของเพลงอย่าง Whitney Houston จะจากโลกนี้ไปนานแล้ว แต่พลังเสียงที่สื่อด้วยความมุ่งมั่นและความจริงใจของเธอ ยังสามารถต่อชีวิตของคนหลายล้านให้กลับมามีความหวังอีกครั้งแม้บางอย่างจะไม่ประสบความสำเร็จในปี 2019 ขอเพียงมีความเชื่อ เพราะความเชื่อนำมาซึ่งปาฏิหาริย์ได้เสมอ เหมือนในเนื้อเพลงที่ร้องว่า “There can be miracle when you believe”คลิกฟังเพลง ที่นี่Let It Go – Ost. Frozenถ้าเราทำทุกอย่างดีที่สุดแล้ว ที่เหลือก็ช่างมันละกัน เพลงนี้จึงหยิบมาไว้เป็นเพลงสุดท้าย ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกินการควบคุมของเรามากมาย ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว และแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไป เพลงที่มีเนื้อหาคล้าย ๆ กันนี้คงหนีไม่พ้นเพลงอมตะอย่าง Let It Be ของ The Beatlesคลิกฟังเพลง ที่นี่ขอบคุณรูปภาพจาก https://www.pexels.com/photo/photography-of-woman-listening-to-music-761963/ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ได้มีโอกาสอ่านบทความนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ ทีมบรรณาธิการที่ทำงานอย่างหนัก หรือตัวผู้เขียนเอง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ล้วนเป็นสิ่งที่ดีและนำมาเป็นบทเรียนได้เสมอ เสียงเพลงเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้เราสามารถ Move on ผ่านปีเก่า เข้าสู่ปีใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้ มากไปกว่านั้นการตัดสินใจที่จะก้าวข้ามผ่านของตัวเราเองนี่แหละ สำคัญที่สุดโอ้
OhKansiri • 17 ธ.ค. 62
อ่าน
รีวิวซีรีส์ Never Have I Ever : ซีรีส์วัยรุ่นเบาสมองจาก Netflix ที่รับประกันความแซ่บ!
พวกเราได้เสพภาพยนตร์หรือซีรีส์กับทาง Netflix กันมาเยอะแล้ว ส่วนใหญ่ก็ต้องยอมรับกันตามตรงว่าหลังๆนั้น เรามักจะดูอะไรที่เนื้อหาหนักๆ เช่น Stranger Things หรือ Bridgerton แต่วันนี้ผมจะมาป้ายยาซีรีส์วัยรุ่นใสๆ (รึเปล่า?) มาให้ดูอะไรที่เบาสมองกันบ้าง ซีรีส์ที่ผมจะมารีวิววันนี้ก็คือ 'Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย' ซีรีส์วัยรุ่น High School ทั่วๆไป แต่นำเสนอออกมาได้ค่อนข้างแปลกใหม่ และมีประเด็นที่น่าพูดถึงเยอะ แล้วที่สำคัญ ซีซั่น 3 กำลังจะมาแล้ว! โดยที่การรีวิวครั้งนี้ผมจะมีการสปอยเล็กน้อย แต่ก็จะพยายามไม่สปอยจนหมดสนุก ใครที่ยังไม่เคยดู ลองอ่านแล้วตัดสินใจดูนะครับ ส่วนตัวผมนั้นเลื่อนผ่านเรื่องนี้ไปหลายรอบมาก เพราะดูจากหน้าปกแล้วมันก็ไม่เห็นมีอะไรที่น่าสนใจ แต่พอลองกดเข้าไปดู มันดันสนุกกว่าที่คิด ซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever เล่าเรื่องของเด็กสาวชาวอินเดียที่ชื่อ 'เดวี่ วิชวกุมาร์ (Devi Vishwakumar)' ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนอินเดีย แต่ตัวเธอเองนั้นซึมซับความเป็นสาวอเมริกันเข้าไปจนแทบไม่เหลือความเป็นอินเดียเลย รับบทโดยนักแสดงสาวชาวแคนนาดาที่ชื่อ 'Maitreyi Ramakrishnan' เธอนั้นดีบทแตกมากๆ เล่นออกมาได้น่ารักและมีเสน่ห์ เธอสวยมากด้วย ในเรื่องเป็นสาวเนิร์ดที่ยิ่งดูยิ่งหลงรัก ทำให้เราเชื่อได้ว่าจะมีผู้ชายมาติดพันเธอถึง 2 คน โดยเนื้อเรื่องทั้ง 2 ซีซั่นนั้นก็จะวนเวียนอยู่กับผู้ชายทั้ง 2 ที่คาแรคเตอร์แตกต่างกันอย่างสุดขั้วนี่แหละ คนแรกคือ 'แพ็กซ์ตัน' หนุ่มสุดฮ็อตที่เดวี่ชอบมาตั้งแต่เด็ก ส่วนอีกคนคือ 'เบน' หนุ่มเนิร์ดบ้านรวยที่เคยเป็นคู่กัดกับเดวี่ แต่เอาจริงๆเนื้อเรื่องมันก็สอดแทรกประเด็นอื่นๆที่น่าสนใจไว้มากมาย เช่น ประเด็นสังคมในโรงเรียน เรื่องมิตรภาพ และเรื่องครอบครัว แต่ละประเด็นนั้นก็จะมีความดราม่า แต่ว่าตัวซีรีส์นั้นนำเสนอออกมาให้ดูไม่เครียดจนเกินไป ทำให้เราดูได้สบายๆ เสน่ห์ของซีรีส์เรื่องนี้ นอกจากนางเอกและหนุ่มๆของเธอแล้ว ตัวละครรอบตัวของเดวี่นั้นก็มีเสน่ห์เช่นกัน เช่น ตัวละครเพื่อนสนิทของเธออย่าง 'เอเลนอร์' และ 'ฟาบิโอล่า' ทั้งสามคนคือความแตกต่างอย่างลงตัว เอเลนอร์เธอเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายจีน และเป็นนักแสดงละครเวที ตัวละครนี้จะออกแนวร่าเริงแจ่มใส เรียกเสียงฮาได้ตลอด น่ารักมาก ให้คำแนะนำแต่ละอย่างคือเด็ดๆทั้งนั้น ส่วนฟาบิโอล่าเธอเป็นเด็กเนิร์ด มีงานอดิเรกคือสร้างหุ่นยนต์ ตัวเดวี่เองก็เป็นเด็กเนิร์ด แต่ก็มีความซนตามประสา ส่วนตัวผมชอบความสัมพันธ์ของสามคนนี้มากกว่าหนุ่มๆของเธอเสียอีก มีช่วงทะเลาะกันไม่เข้าใจกันบ้าง แต่สุดท้ายพวกเธอนั้นก็ตัดกันไม่ขาดอยู่ดี นอกจากเพื่อนๆแล้ว ตัวละครในครอบครัวของเดวี่นั้นก็มีเสน่ห์เช่นกัน แม่ของเดวี่เป็นหมอผิวหนัง เธออยู่ตรงกลางระหว่างคนหัวโบราณกับคนหัวสมัยใหม่ ถึงแม้ว่าจะดุจะว่าเดวี่บ่อยแค่ไหน แต่เอาจริงๆเธอก็รักลูกสาวของเธอมาก แม้จะแสดงออกไม่เก่งก็ตาม ส่วนอีกคนคือญาติที่อยู่บ้านหลังเดียวกันชื่อ 'กมลา' เธอเป็นสาวฮ็อตที่มีหนุ่มๆมาตามจีบเยอะ ในช่วงแรกๆเดวี่ดูจะไม่ชอบเธอสักเท่าไหร่ แต่หลังๆนั้นทั้งสองคนก็ปรับตัวเข้าหากันมากขึ้น ซีรีส์เรื่องนี้เล่าประเด็นครอบครัวเยอะมากพอๆกับประเด็นความรักเลย เพราะเปิดเรื่องมาก็เล่นประเด็นที่เดวี่พึ่งจะสูญเสียพ่อไป เธอช็อกมากเพราะเธอนั้นสนิทกับพ่อมากกว่าแม่ เดวี่คิดว่าแม่ของเธอแทบไม่รู้สึกเสียใจอะไรกับการจากไปของสามี เธอจึงมักจะก่อปัญหาหรือพูดอะไรให้แม่เสียใจตลอด แต่บอกเลยว่าประเด็นนี้แอบเรียกน้ำตาได้เหมือนกัน แม่ของเธอต้องทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลาจึงทำให้เดวี่คิดว่าแม่ของเธอนั้นไม่เสียใจ แต่จริงๆแล้วกลับกันเลย ถึงแม้ว่าตอนท้ายของซีซั่น 1 จะคลายปมนี้แล้ว แต่พอขึ้นซีซั่น 2 ประเด็นนี้ก็ยังมีพูดถึงอยู่ ซึ่งมันก็ทำออกมาได้ดี ไม่รู้สึกว่ายัดเยียดอะไร ประเด็นความรักของ Never Have I Ever มันก็ไม่ได้ดูหวือหวาอะไร ออกแนวเรื่อยๆ ก็เป็นเรื่องราวรักสามเส้าทั่วๆไปนั่นแหละ แต่ก็พอให้เราได้ลุ้นอยู่บ้างว่าสุดท้ายแล้วเธอจะได้ลงเอยกับใครกันแน่ มีอุปสรรคมาขัดขวางบ้างพอเป็นสีสัน ตัวเดวี่ก็ไม่ได้แสดงออกชัดเจนว่าชอบใครมากกว่ากัน ทั้งเบนและแพ็กซ์ตันก็ดูมีโอกาสได้ลงเอยกับเธอทั้งคู่ ใครที่จะดูก็เตรียมเลือกไว้เลยครับว่าจะเชียร์คนไหน ซึ่งไม่ว่าคุณจะเชียร์คนไหน ตอนจบของทั้ง 2 ซีซั่นจะทำให้คุณถูกใจแน่นอน (แต่จะถูกใจทีมไหนก่อนไปลุ้นกันเอาเอง) แล้วเรื่องนี้ยังมีประเด็นเรื่องเซ็กส์ด้วยนะ แต่ไม่ค่อยพูดถึงเยอะสักเท่าไหร่ มีมุก 18+ เยอะอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีฉากวาบหวิว เพราะเรื่องนี้เรทแค่ 13+ ไม่ต้องหลบพ่อแม่ดู ทั้งเบนและแพ็กซ์ตันหลังจากได้ทำความรู้จักกับเดวี่ พวกเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปทางที่ดีขึ้นด้วย เบนที่ตอนแรกเป็นคนปากร้าย หลังๆก็เห็นเขาเป็นคนพูดจาดีมากขึ้น ยอมเข้าสังคมมากขึ้น ส่วนแพ็กซ์ตันที่ตอนแรกใช้ชีวิตสนุกไปวันๆ ไม่คิดถึงอนาคตตัวเอง หลังๆเขาก็เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ตั้งใจเรียนมากขึ้นเพราะอยากเข้ามหาวิทยาลัย ตรงจุดนี้ผมชอบมาก แต่ประเด็นเหล่านี้จะไปเล่าในซีซั่นที่ 2 เป็นส่วนใหญ่ ประเด็นเรื่องเชื้อชาตินั้นกลับไม่ค่อยได้เล่นสักเท่าไหร่ ทั้งๆที่มีอะไรให้เล่นเยอะมาก ประเด็นนี้เป็นแค่ส่วนเสริมเล็กๆเท่านั้น มีประเด็นเรื่องเพศที่ 3 เข้ามาด้วย แต่ก็ไม่ได้เล่นให้เป็นประเด็นใหญ่สักเท่าไหร่ เล่าแค่ว่าอยากให้ครอบครัวยอมรับ รวมถึงตัวเองด้วย ส่วนจะเป็นตัวละครไหนผมขอไม่บอก อยากให้ไปดูกันเอาเอง อีกส่วนประกอบที่ผมรู้สึกว่าซีรีส์ Never Have I Ever ทำออกมาได้ดีมาก ก็คือเหล่าตัวประกอบต่างๆที่คอยเข้ามาสร้างสีสันได้ตลอด เช่น เพื่อนสนิทของแพ็กซ์ตัน ที่ชอบกวนประสาทเดวี่ แถมยังชอบเล่นมุก 18+ อีก แต่ก็ไม่ได้น่ารำคาญนะ อีกคนก็คือจิตแพทย์ที่เดวี่ชอบไปขอคำปรึกษา ตัวละครนี้ให้คำปรึกษาและกำลังใจกับเดวี่ตลอดแทบทั้งเรื่อง เธอมักจะมีคำพูดที่ทำให้เดวี่คิดได้ มีประโยคนึงในซีซั่น 2 ที่ผมชอบมาก เธอบอกประมาณว่า "เธอไม่ใช่คนบ้า แต่เธอแค่มีความเป็นมนุษย์มากกว่าคนอื่น" อีกคนที่ผมชอบเป็นพิเศษคือครูสอนประวัติศาสตร์ ที่ออกมาแต่ละครั้งคือสุดมาก สไตล์การสอนเก๋สุดๆ จนผมแอบคิดว่าถ้าสมัยเรียนม.ปลายมีครูประวัติศาสตร์แบบนี้ ผมคงตั้งใจเรียนวิชานี้มากกว่าเดิมหลายเท่า ความจริงแล้ว Never Have I Ever ยังสอดแทรกประเด็นที่น่าสนใจไว้อีกหลายประเด็น แต่ผมเอามาบอกไม่หมด อยากให้คุณไปดูกันเอง แต่ผมรับรองว่าน่าสนใจทุกประเด็น บางประเด็นคุณอาจคาดไม่ถึงว่าเขาจะสอดแทรกมันเข้ามาด้วย อีกคนหนึ่งที่เราไม่พูดถึงไม่ได้ คือ John McEnroe อดีตนักเทนนิสชื่อดัง เขาแทบไม่ได้ปรากฏตัวในเรื่องแบบมาเป็นตัวเป็นตน แต่เราได้อยู่กับเขาตลอดทั้งเรื่อง เพราะเขามารับหน้าที่เป็นคนบรรยายเนื้อเรื่องนั่นเอง คอยบรรยายชีวิตของเดวี่ บางทีก็แอบวิจารณ์ มีแอบเนียนเล่าเรื่องตัวเองพอเป็นสีสัน แอบมา Cameo ในตอนจบของซีซั่นแรกด้วย บอกเลยว่าคนคิดไอเดียนี้สุดยอดมาก ไม่รู้สึกรำคาญเลย เป็นสีสันที่เข้ากันได้อย่างลงตัว แต่ก็จะมีบางตอนนะที่จะเอาคนอื่นมาบรรยาย ซึ่งจะเป็นตอนที่แพ็กซ์ตันกับเบนเป็นตัวเดินเรื่อง ซึ่งจะมีแค่ซีซั่นละตอนเท่านั้น ซีซั่น 1 จะเป็น Andy Samberg มาเล่าในตอนของเบน ส่วนซีซั่น 2 จะเป็น Gigi Hadid มาเล่าในตอนของแพ็กซ์ตันผมขอให้คะแนน Never Have I Ever ไว้ที่ 8.5/10 มีช่วงน่าเบื่อบ้าง บางประเด็นก็ถูกพูดถึงน้อยจนน่าเสียดาย แต่โดยรวมสนุก ตัวละครมีเสน่ห์ เป็นซีรีส์ที่ผมอยากแนะนำให้คุณดู แต่คุณอย่าไปคาดหวังว่ามันจะหวือหวาหรือสนุกจนหยุดดูไม่ได้อะไรทำนองนั้น เป็นซีรีส์ที่คุณดูได้เรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ เพราะมันจะมีตอนที่เอื่อยๆน่าเบื่อบ้าง ข้อดีคือมันสั้น ตอนละประมาณ 30 นาทีเท่านั้น มีซีซั่นละ 10 ตอน คุณสามารถดูแบบคั่นเวลาระหว่างรอเรื่องอื่นก็ยังได้ แต่ต้องบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้ไม่มีพากย์ไทยนะครับ น่าเสียดายเหมือนกัน ถ้ามีพากย์ไทยอาจจะมีกระแสในประเทศเราได้มากกว่านี้ ซีซั่นที่ 3 ก็จะมาในวันแม่หรือ 12 สิงหานี้พอดี ลองเปิดใจดูนะครับ คุณอาจจะหลงรักซีรีส์เรื่องนี้ไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าคุณชอบการรีวิวครั้งนี้ และอยากติดตามงานเขียนของผม สามารถกดติดตามเพจ Alone Time ได้เลยครับ ขอบคุณครับ เครดิตภาพ เครดิตภาพปก Facebook : Netflix เครดิตภาพ 1 Instagram : maitreyiramakrishnan เครดิตภาพ 2 Twitter : Netflix เครดิตภาพ 3 Twitter : Netflix เครดิตภาพ 4 Twitter : Netflix *STAR COVER"อย่ามัวแต่ดูมาดังกัน"* ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ขอชวนทุกคนมาสนุกโคฟเวอร์ พร้อมลุ้นรับเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7,000 บาท (5 รางวัล) โคฟคนที่ใช่ ไลค์คนที่ชอบ`ร่วมสนุกได้ที่ ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ห้อง cover บนแอปทรูไอดี` คลิกเลย https://ttid.co/UAnK/7y9jfqkq อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://bit.ly/3O1cmUQ ร่วมสนุกตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2565 - วันที่ 11 สิงหาคม 2565
อินเทรนด์หนัง • 11 ส.ค. 65
ดูเพิ่มเติม